เดือนพฤษภาคม 2023 เรียกได้ว่าเป็นเดือนสำคัญของหุ้นฝั่งอเมริกา เพราะเดือนนี้เป็นเดือนแรกที่หุ้นสามารถทะยานทะลุการ "ไซด์เวย์" มายาวนานในช่วงโควิด และการขึ้นดอกเบี้ยอย่างบ้าคลั่งของธนาคารกลางได้สำเร็จ
ซึ่งหุ้นกลุ่มที่ขึ้นก็ชัดว่าเป็น "กลุ่มเทคโนโลยี" จะเห็นได้ว่าดัชนี NASDAQ ขึ้นมาราว 25% แล้วจากต้นปี
แต่ถ้าจะเอาให้ละเอียดกว่านั้น หุ้นกลุ่มที่ขึ้นน่าจะเรียกรวม ๆ ได้ว่าเป็นหุ้นกลุ่ม “เทคโนโลยีพื้นฐานเศรษฐกิจ AI” หรือคือหุ้นบริษัทที่กุมเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ AI ต่อไป ซึ่งตรงนี้คงไม่ต้องเถียงกัน เพราะนักวิเคราะห์เห็นตรงกันหมดว่ากระแส Generative AI นี่แหละที่พาเอาหุ้นที่ชะงักงันมานานแล้วขึ้นในที่สุด
แล้วมันมีอะไรบ้าง?
ตัวแรกที่ต้องกล่าวถึงคือดาวเด่นอย่าง NVIDIA ที่หุ้นขึ้นตั้งแต่ต้นปีไป 180% แล้ว ซึ่งหลายคนก็คงรู้ว่าผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทนี้อย่างการ์ดจอ ไม่ได้ใช้แค่เล่นเกม หรือขุดคริปโตเท่านั้น แต่มันยังใช้ประมวลผล AI ด้วย และการที่หุ้นขึ้นมหาโหดแบบนี้ก็ชัดเจนว่า NVIDIA มีเทคโนโลยีที่จำเป็นแค่ไหนในการพัฒนาเศรษฐกิจ AI
ตัวต่อมาก็คือบริษัทที่ผลิตการ์ดจออีกเจ้าอย่าง AMD ซึ่งหุ้นขึ้นไป 96% แล้วตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเหตุผลที่ขึ้นก็น่าจะเหมือน NVIDIA แต่ที่ขึ้นน้อยกว่าหลัก ๆ ก็เพราะ เทคโนโลยีของ NVIDIA มีลักษณะเฉพาะกับ AI มากกว่า แต่อีกด้าน AMD ก็เป็นบริษัทที่เรียกว่าเป็น "คู่แข่งเดียวในตลาด" ของ NVIDIA ซึ่งนี่ก็ย้ำอีกว่า อนาคตที่เต็มไปด้วย AI จะทำให้บริษัทที่ผลิตการ์ดจอร่ำรวยแค่ไหน
ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่ม "ฮาร์ดแวร์" ที่หุ้นขึ้นก็เช่น Micron Technology (42%) Taiwan Semiconductor Manufacturing หรือ TSM (38%) ซึ่งหลัก ๆ พวกนี้คือแม้ไม่ได้ผลิต "การ์ดจอ" ตรง ๆ แต่ก็ผลิตชิ้นส่วนการ์ดจอ และก็ไม่แปลกที่คนจะคิดว่ารายได้ของบริษัทน่าจะพุ่งไปพร้อมกับความต้องการการ์ดจอ
และก็ไม่ใช่แค่พวกนี้ แต่พวกบริษัทกลุ่ม Big Tech ที่ลงมาเล่นตลาด AI ก็หุ้นขึ้นเหมือนกันเช่น Facebook (110%) Google (39%) และ Microsoft (38%) และที่ต้องกล่าวถึง 3 บริษัทนี้ ก็เพราะทั้ง 3 บริษัทล้วนมี “เทคโนโลยีแบบ ChatGPT” ที่พัฒนามาเองอยู่ในมือหมดเลย
ทั้งหมดนี้ดูจะเห็นได้ว่าโทนการลงทุนในปีนี้ชัดเจนว่า AI มาแรงจริง ๆ
คำถามต่อมาอะไรจะ "หยุด" กระแสพวกนี้ได้ ? เพราะถ้าไม่หยุด หุ้นก็คงขึ้นไปเรื่อย ๆ ยาว ๆ
คำตอบเร็ว ๆ ก็น่าจะเป็นการขัดขวางพัฒนาการ AI จากนโยบายรัฐของอเมริกาเอง
จริง ๆ อะไรพวกนี้มี "การเมือง" เยอะอยู่ เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่ไม่ได้มีท่าทีจะออกกฎหมายควบคุม AI ใด ๆ ซึ่งต่างจากยุโรปที่ตอนนี้ออกกฎหมายควบคุมความปลอดภัย AI เหมือนยาและสารเคมีแล้ว แม้แต่ทางจีนที่ออกเป็นกฎหมายความมั่นคงเลย
ซึ่งเอาจริง ๆ ท่าที "ปล่อยเทคโนโลยีเสรี" แบบนี้นี่แหละเป็นเหตุผลที่อเมริกาพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้เร็วกว่าที่อื่น ๆ
แต่อีกด้าน เราก็จะเห็นได้เลยว่า "ฝ่ายที่กลัวแพ้" ในการแข่งขันเทคโนโลยีนี้ในอเมริกาก็จะเรียกร้องให้รัฐทำการควบคุม เช่นล่าสุด Google เปิดตัว AI มากลางเดือนพฤษภาคม 2023 ซึ่งมันจะเป็น AI ที่ใช้ในระบบนิเวศของ Google เองเลย และทำให้ Google ได้เปรียบมาก ๆ เพราะคนมันใช้ระบบนิเวศ Google ทำงานกันเยอะอยู่แล้ว
และพอ Google มาแบบนี้ ทาง CEO ของ OpenAI ก็วาดภาพความน่ากลัวของ AI ซะใหญ่โตเลยและเรียกร้องให้รัฐควบคุมพัฒนาการ AI
ถ้าคนไม่รู้ก็จะงงว่าทำไมบริษัทถึงมาเรียกร้องให้รัฐออกกฎหมายควบคุมกิจการตัวเอง แต่ถ้ามองว่านี่คือการพยายาม "ขัดขา" Google ภาพมันจะออกมาสมเหตุสมผลมากเลย เพราะสุดท้าย ChatGPT ก็รู้ตัวว่าจุดอ่อนของตัวเองคือไม่มีระบบนิเวศของตัวเอง การไปพาร์ตเนอร์กับ Microsoft และผนวกเข้ากับ Bing สุดท้ายก็ไม่มีคนใช้ เพราะคนมันไม่ใช้ Bing อยู่แล้ว และเมื่อไหร่ที่ Google เอา AI ไปใส่ให้หน้า Google Search คือจบเลย เพราะนี่คือหน้าของอินเทอร์เน็ตที่ผู้คนเข้าใช้เป็นประจำมากที่สุด
และนี่คือสิ่งที่ Google บอกจะทำ ซึ่งตอนนี้ก็บอกเลยว่า Google ได้เปรียบที่สุด เพราะ Google มีฐานผู้ใช้ในมือมาก และก็คงไม่ต้องพูดว่ายิ่งคนใช้ AI ของ Google เยอะ มันก็จะยิ่งฉลาดขึ้น และมันก็จะยิ่งทำให้ Google มีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะในตลาดนี้ค่อนข้างสูง
แต่ก็นี่ก็เป็นสิ่งที่ Facebook มองขาดแล้วว่าสู้ไม่ได้แน่ ๆ ก็เลยส่งโมเดลฟรีของตัวเองมาให้คนเอาไปพัฒนาต่อมาตั้งแต่ตอนเดือนมีนาคม 2023 หรือพูดง่าย ๆ คือเหมือนโยนระเบิดไปกลางวงเลย เพราะพอมันมีโมเดลฟรีพัฒนาต่อเองได้ อะไรพวกนี้มันก็น่าสนใจมากเพราะมันจะทำงานได้อย่างไม่มีข้อจำกัดใด ๆ เหมือนพวก AI ที่รันบนแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ ที่มันจะบล็อกให้เราไม่ไปยุ่งกับ "สิ่งผิดกฎหมาย" หรือกระทั่ง "สุ่มเสี่ยง"
ซึ่งตอนนี้พวกโมเดลฟรีก็กำลังพัฒนากันอุตลุด มันไม่ได้มีแค่ Facebook มันมีเจ้าอื่น ๆ ด้วย และพอมันปล่อยออกมาพวกผู้ใช้ก็ช่วยกันพัฒนาไปเรื่อย ๆ ระดับที่ถึงจุดหนึ่ง ไม่ว่าจะ OpenAI หรือ Google ก็ล้วนต้องหนาว เพราะการแพร่กระจายของพวกโมเดลฟรีพวกนี้จะทำให้การเก็บ "ค่าบริการ" แบบที่ ChatGPT เก็บอยู่ตอนนี้มันทำไม่ได้ และมันก็จะทำให้บริการฟรีแต่ "มีข้อจำกัดการใช้" อย่างการทำงานได้ไม่เต็มที่
ทั้งหมดคือสิ่งที่เราจะเห็นพวกบริษัทเทคโนโลยีสู้กันอุตลุดแน่ ๆ เพื่อ "ชิงความเป็นเจ้า AI" ในปี 2023 นี้
Ref.
https://decrypt.co/142568/nvidia-big-winners-ai-chip-biz-tech-stocks
https://www.forbes.com/sites/petercohan/2023/05/30/generative-ai-7-trillion-ecosystem-invest-in-nvidia-microsoft-adobe-and-more/?sh=75af621167e5