Blockchain & Art : อนาคตอันใกล้...ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการภาคสอง


“ศิลปะและสภาพสังคม” ต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน หากสภาพสังคมดี ผู้คนมีสภาพจิตใจที่ดี ก็จะถ่ายทอดผ่านงานศิลปะ ในอีกแง่ หากมีงานศิลปะชั้นเลิศ ก็จะสามารถจรรโลง ปลอบประโลมจิตใจคนในสังคมให้ไม่ทุกข์เกินไปนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน ศิลปะหลายแขนงกลับถูกด้อยค่าลง ถูกมองว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยและจับต้องไม่ได้ ทำให้ศิลปะไม่เฟื่องฟู ส่งผลต่อสภาพสังคม


ถ้าเกิดวันหนึ่ง ‘บล็อกเชน (Blockchain)’ ผ่านการพัฒนา ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย อนาคตจะเป็นยังไงกัน ? หากลองมองจากข้อดีแล้ว บล็อกเชนอาจจะเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยขจัดปัญหาที่ฝังรากลึกให้วงการศิลปะได้กลับมาเกิดใหม่และงอกงามอีกครั้งจนพลิกโฉมหน้าสังคมไปสู่ยุคเสมือนฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรอเนสซองส์ (Renaissance) ที่เป็นจุดกำเนิดของแนวคิดสมัยใหม่ที่สร้างความเจริญและความงามในการใช้ชีวิตของมนุษย์ หลังเปลี่ยนผ่านมาจากเศษซากพังทลายแห่งสงครามในยุคมืด (Dark Age) ก็เป็นได้


แน่นอนว่าทุกคนคงเคยได้ยินบล็อกเชนในฐานะแพลตฟอร์มในการลงทุนในสกุลเงินคริปโต แต่แพลตฟอร์มนี้ยังสามารถสร้างสรรค์และซื้อขายงานศิลปะอย่างเช่น รูปแบบภาพวาด เพลง ภาพยนตร์ ในบล็อกเชนได้ โดย Ethereum ได้ทำสิ่งที่เรียกว่า Non-Fungible Token (NFT) อันเป็นโทเค็นเฉพาะตัวที่มีมูลค่าในตัวเอง โดยงานศิลปะจะอยู่ในโทเค็นให้ผู้ซื้อได้ครอบครองหรือรับชมได้ สามารถศึกษา NFT ต่อได้ที่ [ลิงก์]


ป้องกันการทำซ้ำ

ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนของ Ethereum การสร้าง NFT จะไม่สามารถทำซ้ำได้ มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก แน่นอนว่ารายได้จากการเผยแพร่ผลงานนั้นจะเข้าสู่ผู้สร้างสรรค์เต็ม ๆ ไม่มีการทำซ้ำเพื่อหวังผลกำไรเหมือนเว็บไซต์หนังเถื่อนแน่นอน นับว่าตัดอุปสรรคที่ทำให้ผู้สร้างสรรค์ท้อใจไปได้ไม่น้อย อีกทั้งผู้ซื้อและผู้เสพยังมั่นใจได้ว่าของที่ตัวเองได้รับเป็นของจริงแท้แน่นอน


เข้าถึงได้ไร้ขีดจำกัด

เขาว่ากันว่า “บล็อกเชน” เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้อินเทอร์เน็ตสั่นสะเทือน เป็นอินเทอร์เน็ตเวอร์ชันอัปเกรดที่มาพร้อมกับความปลอดภัยในข้อมูล โดยเฉพาะใน Ethereum ที่ชูเรื่องความปลอดภัย ไร้ศูนย์กลาง ทำธุรกรรมไม่ระบุตัวตน เพราะฉะนั้นเราจะสามารถท่องโลกศิลปะได้อย่างไม่จำกัดบนพื้นที่ออนไลน์

อีกข้อหนึ่งคือ สามารถป้องกันการเซ็นเซอร์เนื้อหาทางรัฐได้ มอบเสรีภาพทางการเลือก เข้าชมทุกเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ รวมถึงเปิดกว้างการสร้างสรรค์อย่างไร้ขอบเขต

จะเห็นได้ว่าการเข้ามาของบล็อกเชนจะช่วยปลดล็อกให้ผู้คนได้เข้าถึงศิลปะได้มากขึ้นในทุกด้าน เมื่อศิลปะไม่ถูกจำกัด ทุกอย่างจะขับเคลื่อนไปด้วยสุนทรียะและสิ่งใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม ตัวบล็อกเชนเองก็ยังมีช่องโหว่ในหลาย ๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นเรายังต้องจับตามองพัฒนาการของบล็อกเชน  ถ้าวันหนึ่งพัฒนามาถึงจุดที่บล็อกเชนถูกนำมาใช้ในระดับมหภาคอย่างแพร่หลาย ศิลปะอาจเฟื่องฟูมากขึ้น ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการครั้งที่สองอาจเกิดขึ้นและนำพาสังคมเข้าสู่อนาคตอันก้าวหน้าอย่างที่ใครอาจจินตนาการไม่ถึงเลยทีเดียว