แนะนำตัว Cardano

Cardano เป็นหนึ่งในบล็อกเชนที่ใหญ่ที่สุดที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ระบบ Proof of Stake ในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่ช่วยลดทรัพยากรที่ต้องใช้ไปอย่างมหาศาล ซึ่งบริษัท Cardano ก่อตั้งโดย Charles Hoskinson ที่เป็นเหมือนผู้นำทางความคิดในตลาดคริปโต วัตถุประสงค์ของบล็อกเชนนี้ คือการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย โปร่งใสและทันสมัย อีกทั้งรูปแบบการทำงานของบล็อกเชนมีความคล้ายคลึงกับ Ethereum มาก แตกต่างกันที่ Cardano มีการใช้เทคโนโลยีและระบบที่ทันสมัยกว่าจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

บทบาทของ Charles Hoskinson

Charles Hoskinson มีบทบาทสำคัญมากในตลาดคริปโตจากการเป็นผู้ก่อตั้ง Cardano Foundation และ IOHK ที่เป็นบริษัทสร้างบล็อกเชนของ Cardano นอกจากนี้ Hoskinson ยังเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญของ Ethereum อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่ Hoskinson ออกจาก Ethereum เขาก็ได้นำเอาองค์ความรู้มาประยุกต์กับแนวทางของตนเองเพื่อก่อตั้ง Cardano ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากความสามารถในการเป็นผู้บริหารเครือข่ายแล้ว Hoskinson ยังเป็นนักคณิตศาสตร์อีกด้วย ทำให้ส่วนประกอบหลายอย่างของบล็อกเชน Cardano มีความซับซ้อนและใช้ระบบอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมบล็อกเชนให้มี 2 ชั้นเพื่อให้สามารถทำธุรกรรมได้หลายรูปแบบและลดความล่าช้าในการทำงานลง หรือการตั้งชื่อขั้นตอนการพัฒนาซอฟต์แวร์ตามชื่อนักปราชญ์ในอดีตอีกด้วย

แผนการพัฒนาระบบหลักของ Cardano

ในการพัฒนาระบบบล็อกเชนของ Cardano นั้น Hoskinson ได้วางแผนขั้นตอนไว้ทั้งหมด 5 ขั้นตอนตามชื่อนักปราชญ์ในอดีตดังนี้

1. BYRON :  Foundation (ยุคการก่อตั้ง)

แผนหลัก : เปิดตัวบล็อกเชน Cardano ด้วยระบบ Proof of Stake 

ยุคนี้มีการออกเหรียญ ADA ตั้งแต่ปี 2015 ก่อนการก่อตั้ง Cardano อย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการใช้ระบบแบบ Ouroboros ที่ทำให้บล็อกเชนของ Cardano เป็นแบบ Proof of Stake เป็นที่แรก นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Deadalus Wallet เป็นกระเป๋าเงินบนเครือข่ายอีกด้วย

2. SHELLY : Decentralization  (ยุคการกระจายอำนาจ)

แผนหลัก : กระจายอำนาจและเพิ่มความปลอดภัยของบล็อกเชน

ยุคสมัยนี้มีการปรับปรุงและพัฒนาการทำธุรกรรมให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาระบบให้กระจายอำนาจมากขึ้น โดยบล็อกเชน Cardano จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าบล็อกเชนอื่นถึง 50-100 เท่า ทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบที่ประหยัดพลังงานอีกด้วย

3. GOGUEN (ปัจจุบัน) : Smart Contracts (ยุคสัญญาอัจฉริยะ)  

แผนหลัก : เข้าถึงผู้คนและให้ภาคธุรกิจสามารถสร้างแอปพลิเคชันบนเครือข่ายได้

ยุคสมัยที่มีการพัฒนาให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันกระจายอำนาจ (Decentralized Apps - DApps) บนเครือข่ายจากสัญญาอัจฉริยะได้ นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาให้เครือข่าย Cardano สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นและทำให้นักธุรกิจที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคมากสามารถสร้างสัญญาอัจฉริยะได้ด้วย Marlowe Playground ที่ช่วยลดความซับซ้อนลงได้ นอกจากนี้ การพัฒนาครั้งนี้ยังทำให้เครือข่ายสามารถรองรับเหรียญสกุลเงินคริปโตได้หลากหลายขึ้นอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันบริษัท Cardano อยู่ในการพัฒนาขั้นนี้

4. BASHO : Scaling (ยุคการเพิ่มประสิทธิภาพ)

แผนหลัก : เพิ่มขนาดและการทำงานร่วมกันของบล็อกเชน

ขั้นนี้มีการปรับปรุงความสามารถในการปรับขนาดและการทำงานร่วมกันของเครือข่าย หนึ่งในการพัฒนาหลักคือ Sidechain ซึ่งเป็นบล็อกเชนเสริมที่สามารถทำงานร่วมกับบล็อกเชนของ Cardano ที่มีอยู่เดิมได้ โดยจะช่วยขยายขีดความสามารถของเครือข่ายได้อย่างมหาศาล โดยรวมแล้ว จะทำให้ Cardano กลายเป็นบล็อกเชนประสิทธิภาพสูง และยืดหยุ่นที่สุดในอุตสาหกรรม 

5. VOLTAIRE : Governance (ยุคธรรมาภิบาล)

แผนหลัก : ระบบการโหวต และการระดมทุนเพื่อโครงการใหม่ในอนาคต

ยุคสมัยนี้เป็นยุคสุดท้ายของการพัฒนาบล็อกเชน Cardano เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้และจะมีการพัฒนาในอนาคตตามคะแนนการลงเสียงของผู้ร่วมเครือข่ายตามสัดส่วนการถือหุ้น ดังนั้นจะทำให้ระบบสามารถพึ่งพาตนเองและพัฒนาได้แบบไร้ศูนย์กลางอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ในการพัฒนาโครงการใด ๆ จะมีการรวมค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเพียงเศษเสี้ยวเพื่อหาทุนสำหรับกิจกรรมการพัฒนาที่ผ่านการลงคะแนนเลือกมาแล้ว

ถึงตรงนี้ จะเห็นโดยภาพรวมว่าบล็อกเชน Cardano นั้นเป็นคู่แข่งหลักของเครือข่าย Ethereum ทำให้บริษัท Cardano จำเป็นต้องพัฒนาจุดเด่นด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความปลอดภัย และความไร้ศูนย์กลางอย่างแท้จริงเพื่อให้ผู้ใช้งานไว้วางใจและหันมาใช้ Cardano มากขึ้น ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องติดตามแผนการพัฒนาของทั้งบล็อกเชนของ Cardano และ Ethereum อย่างถี่ถ้วนเพื่อประเมินสถานการณ์ในการลงทุนได้อย่างถูกต้อง


ภาพจาก wired.com newsbtc.com