ปัจจุบัน สกุลเงินคริปโตยังเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ แต่ในช่วงหลัง ๆ มานี้ ก็มีนักลงทุนที่ลงทุนในคริปโตในระยะยาวเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อที่ว่า สกุลเงินคริปโตคืออนาคตของโลกการเงิน โดยอาจจะเข้ามาแทนที่ระบบการเงินแบบดั้งเดิมได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครตอบได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่า ความเชื่อดังกล่าวจะกลายเป็นความจริงหรือไม่ในอนาคต เนื่องจากคริปโตเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาได้ไม่นาน และยังต้องอาศัยเวลาอีกยาวนานในการพิสูจน์ตัวเอง โดยแม้ว่าจะมีนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของคริปโตมากขึ้น แต่ผู้ที่มองว่า คริปโตจะไปไม่รอดในอนาคต ก็ยังมีอยู่มากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ บทความนี้จึงจะพาคุณไปดูบทวิเคราะห์แนวโน้มของคริปโตในอนาคตที่เผยแพร่โดยธนาคารยักษ์ใหญ่ระหว่างประเทศอย่าง Deutsche Bank กันว่า การที่คริปโตจะมาเข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกการเงินในอนาคตได้นั้นมีความเป็นไปได้มากแค่ไหน

Deutsche Bank กล่าวถึงระบบการเงินปัจจุบันว่ามีความ “เปราะบาง” อีกทั้งรายงานชื่อว่า “Imagine 2030” ของทางธนาคารก็ได้ทำนายอนาคตของสกุลเงินคริปโตเอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยรายงานดังกล่าวระบุอย่างหนักแน่นว่า ณ ปัจจุบัน สกุลเงินคริปโตเป็นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในระบบการชำระเงินปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในอีกราว ๆ หนึ่งทศวรรษ คริปโตจะถึงขั้นเข้ามาแทนที่เงินสดที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ได้เลยทีเดียว เนื่องจากความต้องการที่จะปกปิดตัวตน และความต้องการที่จะมีช่องทางการชำระเงินแบบที่กระจายศูนย์มากขึ้นจะเพิ่มขึ้น 

รายงานดังกล่าวยังได้ยกกรณีของอินเทอร์เน็ตมาพูดถึงด้วยว่า ในช่วงแรก อินเทอร์เน็ตยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยในช่วงแรก อินเทอร์เน็ตมักถูกนำไปใช้ในแวดวงวิชาการเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งมีผู้ออกนโยบายเล็งเห็นศักยภาพ จึงรับรองให้การนำอินเทอร์เน็ตไปใช้ในเชิงพาณิชย์เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ทำให้เริ่มมีคนนำอินเทอร์เน็ตไปใช้ในเชิงพาณิชย์แม้คนส่วนใหญ่จะยังใช้ไม่เป็น ต่อมาก็มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานง่ายมากขึ้น จนทำให้เกิดการนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายดังเช่นปัจจุบัน

ซึ่งถ้าหากคริปโตจะเดินตามรอยอินเทอร์เน็ตในการกลายมาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีการนำไปใช้งานในวงกว้าง สิ่งแรกที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนคือ รัฐบาลและผู้กำกับดูแลจะต้องมีมุมมองที่ดีต่อคริปโตเสียก่อน ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะมีรัฐบาลหลายประเทศที่สนับสนุนคริปโต และกำลังเร่งออกกฎกำกับดูแลที่ชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ชนิดนี้อยู่ แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ไม่สนับสนุน ดังนั้น การที่รัฐบาลทั่วโลกจะเล็งเห็นศักยภาพของคริปโต และออกกฎหมายที่ผลักดันการใช้สินทรัพย์ดังกล่าวอย่างจริงจังอาจจะยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่น่าประหลาดใจมาก ๆ เกี่ยวกับรายงาน “Imagine 2030” คือ ส่วนที่มีชื่อหัวข้อว่า “The End of Fiat Money? (หรือนี่จะเป็นจุดจบของเงินตรา)” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ธนาคารยักษ์ใหญ่ในโลกการเงินดั้งเดิมอย่าง Deutsche Bank เองก็มองว่า สกุลเงินในโลกการเงินดั้งเดิมอย่างสกุลเงินตรา (Fiat) ก็อาจจะไปไม่รอดในที่สุด แต่ทางธนาคารก็อธิบายอีกว่า เหยื่อตัวจริงอาจไม่ใช่เงินตรา แต่จะเป็นบัตรพลาสติกต่าง ๆ ได้แก่ บัตรเงินสด บัตรเครดิต และบัตรเดบิต ซึ่งหากคริปโตได้รับการยอมรับมากขึ้น บัตรเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ ล้าสมัย โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนมีข้อได้เปรียบเหนือบัตรชำระเงินเหล่านี้หลายอย่าง โดยเฉพาะการที่ผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการชำระเงินทางออนไลน์ที่ได้ลดความจำเป็นของบัตรเหล่านี้ไปแล้วด้วย 

จากบทวิเคราะห์ดังกล่าวของ Deutsche Bank จะเห็นได้ว่า ความเป็นไปได้ที่สกุลเงินคริปโตจะกลายเป็นอนาคตของโลกการเงินนั้นมีค่อนข้างมากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์นี้ก็เป็นเพียงแค่การคาดการณ์อนาคต ซึ่งก็ไม่ใครสามารถรับประกันได้ว่า คำคาดการณ์ดังกล่าวจะถูกต้อง 100% หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นแนวทางให้ผู้อ่านพอที่จะคาดเดาอนาคตของคริปโตได้บ้างไม่มากก็น้อย