ฐานข้อมูลกลางเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่ว่าเราจะฟังเพลงผ่านแอปพลิเคชันสตรีมเพลงขวัญใจวัยรุ่นอย่าง Spotify เปิดดูอีเมลใน Gmail ใช้บัตรเครดิตไร้สัมผัสในการจ่ายค่ากาแฟที่ร้าน Starbucks สุดเรียบหรู หรือแม้แต่ส่งข้อความหาเพื่อนสนิทผ่านแอปพลิเคชัน WhatsApp ทุก ๆ วันเราทุกคนล้วนใช้ฐานข้อมูลรวมศูนย์กันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์แบบ เนื่องจากต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงหลาย ๆ อย่าง เช่น

  1. ความปลอดภัย – หากว่าฐานข้อมูลรวมศูนย์เหล่านี้โดนแฮก ข้อมูลของเราทุกคนก็จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ ซึ่งก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้มาแล้วในช่วงที่ผ่านมา
  2. ต้นทุน – การสร้างระบบรวมศูนย์นั้นสิ้นเปลือง เนื่องจากบริษัทจะต้องนำทรัพยากรเกือบทั้งหมดที่มีไปใช้ในการควบคุมดูแลระบบเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น
  3. ข้อมูล – ในระบบรวมศูนย์ ข้อมูลของคุณไม่ได้เป็นของคุณอย่างแท้จริง มิหนำซ้ำยังถูกบริษัทที่จัดการข้อมูลนำไปใช้หารายได้อีกด้วย
  4. ความโปร่งใส – ไม่มีใครตอบได้ว่า ข้อมูลของคุณจะถูกเอาใช้ทำอะไร โดยใคร หรือเพื่อสิ่งใดกันแน่

แต่อินเทอร์เน็ตกระจายศูนย์สามารถลดความเสี่ยงข้างต้นได้

Distributed Ledger Technology คืออะไร?

เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) คือบันทึกข้อมูลและธุรกรรมแบบออนไลน์ ซึ่ง DLT มีลักษณะคล้ายกับฐานข้อมูลที่บรรยายไปข้างต้น เพียงแต่ข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ในหลาย ๆ ที่ในเวลาเดียวกันนั่นเอง โดย DLT นั้นเป็นชื่อรวมที่ใช้กล่าวถึงเทคโนโลยีใด ๆ ก็ตามที่มีการใช้ระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบนี้ ตัวอย่างเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่เรารู้จักกันดีก็คือ 

  1. สกุลเงินคริปโต – สกุลเงินดิจิทัลแถวหน้าของโลก เช่น Bitcoin (BTC) หรือ Ethereum (ETH) โดยหนึ่งในการนำ DLT มาใช้แบบจริงจังที่สุดในปัจจุบันคือ การเก็บบันทึกธุรกรรมการเงิน 
  2. บล็อกเชน – ระบบกระจายศูนย์สำหรับบันทึกธุรกรรม โดยบล็อกเชนถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกเพื่อจัดเก็บธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin บล็อกเชนถือเป็นกรณีการใช้งาน DLT อย่างหนึ่งที่โด่งดังที่สุด
  3. Git – Git เป็นซอฟต์แวร์ Source Control แบบกระจายศูนย์ โดยนักพัฒนามักจะนำ Git ไปใช้ในการจัดการโค้ดเวอร์ชันต่าง ๆ ที่พวกเขาเขียนขึ้นมา 

Centralized, Decentralized และ Distributed ต่างกันอย่างไร?

  1. Centralized (รวมศูนย์) – ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง หรือการควบคุมจะเกิดขึ้นในพื้นที่เดียว หรือจากบริษัทเดียว
  2. Decentralized (กระจายศูนย์) – ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในหลายพื้นที่
  3. Distributed (กระจาย) – อุปกรณ์ต่าง ๆ ในเครือข่ายเชื่อมต่อและติดต่อกันเหมือนกับการสื่อสารและการทำงานของคอมพิวเตอร์

โดย Centralized และ Decentralized เป็นสองคำที่มีความหมายตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แต่ Decentralized และ Distributed นั้นเกี่ยวข้องกันแต่มีความหมายต่างกัน ตัวอย่างเช่น DropBox เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายที่รวมศูนย์ ในขณะที่ FileCoin เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายที่กระจายศูนย์

ความเคลื่อนไหวใหม่

ส่วนใหญ่เวลาคนทั่วไปพูดถึง DLT เขามักจะหมายถึงเทคโนโลยีที่กระจายศูนย์และเป็นแบบกระจาย โดยในปัจจุบันนี้ DLT กำลังทำให้เกิดอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ที่มีทั้งความกระจายศูนย์และเป็นแบบกระจายอยู่ในระบบเดียวกัน หมายความว่า เราจะมีบันทึกแบบใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกันในเวลาเดียวกันได้ และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ก็จะหายไป

ในระบบที่มีความกระจายศูนย์ คุณค่าและผลประโยชน์จะตกเป็นของผู้ใช้ในเครือข่ายทุกคน ไม่ใช่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งถ้าหากว่า มีการสร้าง DLT สำเร็จ ผลที่ตามมาก็คือ 1. ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น 2. มีความโปร่งใสมากขึ้น 3. มีประสิทธิภาพมากขึ้น 4. มีรางวัลตอบแทนสำหรับผู้ใช้มากขึ้น และ 5. นำไปสู่โอกาสใหม่ ๆ

อนาคตของ DLT

ณ ตอนนี้ เรากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ DLT มาใช้ โดย DLT ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ต่างจากอินเทอร์เน็ตในยุคแรกเริ่มสักเท่าไรที่ประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะในแง่ของความแออัดของเครือข่าย นอกจากนี้ ยังมีกรณีการใช้งาน DLT ในด้านต่าง ๆ อีกมากมายที่เรายังไม่รู้จัก ถึงกระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า อุตสาหกรรมนี้กำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และนักพัฒนากำลังคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่แน่ว่า โลกในอนาคตอาจจะเป็นโลกที่มีความกระจายศูนย์ก็ได้