ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2023 เศรษฐกิจโลกค่อนข้างจะทรงตัว แต่นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยกลับเริ่ม "เตือน" ถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น และมันอาจเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่พวกธนาคารใหญ่ ๆ ไม่ล่ม แต่มันอาจเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า "การเสียมูลค่า" (Devaluation) ของดอลลาร์สหรัฐ

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าอยู่ดี ๆ เงินดอลลาร์สหรัฐมูลค่าร่วงลง ระบบเศรษฐกิจโลกจะปั่นป่วนระดับร้ายแรงแน่ ๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มูลค่าผูกกับดอลลาร์สหรัฐจะร่วงลงหมด มันไม่ได้หมายความแค่ว่าคนอเมริกันจะจนลง แต่หมายความว่าของที่ตกลงซื้อขายระหว่างประเทศกันเป็นดอลลาร์สหรัฐ ก็จะมูลค่าร่วงลงด้วย และมากกว่านั้น พวกตราสารหนี้สาธารณะต่าง ๆ ที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐก็จะราคาร่วง ซึ่งนี่ก็จะไปกระทบพวกกองทุนบำนาญทั่วโลก และอาจทำให้กองทุนพวกนี้ไม่มีเงินจ่ายบำนาญคนแก่แบบกลางอากาศ

ทั้งหมดคือความโกลาหลระดับเกินจินตนาการ มันจะเป็นมากกว่าทุกอย่างที่โลกนี้เคยเห็น

แต่มันก็ยังไม่เกิดนี่? ทำไมคนถึงพูดกัน?

คำตอบคือ เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างช่วงนี้ชี้ว่า ดอลลาร์อาจเสียมูลค่า แต่ก่อนที่เราจะเข้าใจว่ามันจะไปสู่จุดนั้นได้ยังไง เราต้องเข้าใจสถานะของดอลลาร์สหรัฐก่อน

เพื่อให้ไม่ต้องย้อนไปไกลมาก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกากลายมาเป็นมหาอำนาจ และการค้าระหว่างประเทศแทบจะทั้งหมดมีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินกลาง ซึ่งยุคนั้นดอลลาร์สหรัฐจะผูกกับทองคำ กล่าวคือ ธนาคารกลางสหรัฐจะให้หลักประกันว่าใครมีดอลลาร์สหรัฐก็จะเอามาแลกทองคำได้ตามเรทที่ประกาศ และนี่ทำให้สกุลเงินต่าง ๆ ผูกมูลค่ากับดอลลาร์สหรัฐหมด เพราะมันเป็นสกุลที่ "มั่นคง" ที่สุด ทั้งยังมีผู้คนใช้กันเป็นจำนวนมาก และมันมีหลักประกันว่าเอาไปแลกทองคำได้

ซึ่งหลายคนก็คงรู้อีกว่าตั้งแต่ปี 1971 อเมริกาก็ยกเลิกระบบนี้ คือพิมพ์เงินมาเฉย ๆ และใช้ระบบที่คน "เชื่อ" ว่ามันมีมูลค่าล้วน ๆ โดยไม่ต้องเอาไปแลกทองคำได้

แน่นอนนี่ฟังดูบ้าบอ แต่ความเป็นจริงคือประชาคมโลกก็เชื่อมั่นในดอลลาร์สหรัฐว่ามันมีมูลค่าจริง ๆ และใช้มันในการค้าระหว่างประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

และ "ความเชื่อ" นี้เองที่ทำให้อเมริกา "ปั๊มเงิน" มาเท่าไร มูลค่าก็ไม่ลด มันอธิบายได้ตามหลักอุปสงค์อุปทาน คือตราบที่มีดุลยภาพของอุปสงค์และอุปทาน ราคาก็จะไม่ขยับ หรือพูดง่าย ๆ ความต้องการดอลลาร์สหรัฐนั้นมีมากกว่าดอลลาร์สหรัฐในโลกเสมอ ดังนั้นไม่ว่าอเมริกาปั๊มเงินมาเท่าไร มันก็ไม่เงินเฟ้อแบบเวเนซุเอลา ที่เงินโบลิวาร์เมื่อถูกปั๊มออกมา มันเป็นแค่เศษกระดาษในสายตาชาติอื่น มันแทบทุกสกุลในโลกต่างจากแบงก์สีเขียวของสหรัฐอเมริกา ที่คนทั่วโลกปฏิบัติราวกับว่ามันเป็น "ทองคำ" เสมอ ดังนั้นการปั๊มดอลลาร์สหรัฐออกมามันก็เลยคล้ายการผลิตทองคำมามากกว่าเงินกระดาษ

ทีนี้ แล้วดอลลาร์จะลดมูลค่าได้อย่างไร? คำตอบก็กลับไปอย่างเดิมคือเรื่องอุปสงค์และอุปทาน คือถ้าอุปสงค์น้อยไป หรืออุปทานมากไป มูลค่ามันก็จะลด เช่นเดียวกับทุกอย่างในโลก

เรามาเริ่มจากอุปทานก่อน คำอธิบายว่าดอลลาร์จะมูลค่าลดฝั่งอุปทาน มันอธิบายจากว่าทุกวันนี้อเมริกาเหลิงเกินไป พิมพ์เงินไปเรื่อย ล่าสุดก็พิมพ์เงินมาอุ้มพวกธนาคารที่จะล่มไปมหาศาล และการพิมพ์เงินถึงจุดหนึ่ง ยังไงมันก็ต้องเกินความต้องการคนบนโลก และจุดนั้น เงินดอลลาร์สหรัฐก็จะมูลค่าร่วงไม่ได้ต่างจากชาติต่าง ๆ ที่พิมพ์เงินมาพร่ำเพรื่อ

แน่นอนคำอธิบายแบบนี้สมเหตุสมผล แต่ในความเป็นจริง ปัญหาคือ คนก็คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้มานานแล้ว คิดว่าดอลลาร์สหรัฐจะถึงจุดจบเพราะการปั๊มเงินไปเรื่อยของธนาคารกลาง แต่มันก็ไม่เกิดสักที และอเมริกาก็พิมพ์เงินมาได้เรื่อย ๆ คนก็ยังต้องการเรื่อย ๆ มูลค่าไม่ลด

นี่ก็เลยนำมาสู่คำอธิบายที่สองซึ่งเป็นฝั่งอุปสงค์ คือในยุคหลังคริปโตและสงครามยูเครน พวกธนาคารแห่งชาติต่าง ๆ เกิดไอเดียจะทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือ CBDC ขึ้น ซึ่งหลัก ๆ ไอเดียคือมันจะใช้ในการค้าระหว่างประเทศถึงพวกนโยบายการคลัง และข้อได้เปรียบของเงินพวกนี้ก็คือ มันจะทำให้ต้นทุนธุรกรรมต่ำมาก คือมันจะคล้าย Stablecoin แต่รวมศูนย์ 

ซึ่งว่ากันตรง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลหยวน ดิจิทัลยูโร ดิจิทัลรูเบิล เป้าหมายการนำไปใช้ในระดับนานาชาติมีอย่างเดียวคือการ "ฆ่า" ดอลลาร์สหรัฐ หรืออย่างน้อยที่สุดคือลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ และพวกเงินพวกนี้มีความสามารถในการ "เจาะตลาด" ได้แค่ไหน ดอลลาร์สหรัฐก็จะยิ่งลดบทบาทในการค้าระหว่างประเทศลงเท่านั้น และที่คนเริ่มเห็นก็คือ "สัญญาณ" ว่าพวกชาติอาหรับเริ่มมีท่าทีว่าพร้อมรับเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์แล้ว และนี่สำคัญมาก เพราะสินค้าที่สำคัญและทำให้ดอลลาร์มีมูลค่ามาตลอดคือน้ำมัน คนซื้อขายน้ำมันผ่านดอลลาร์สหรัฐมาตลอด และคนยิ่งต้องการน้ำมันคนก็ยิ่งต้องการดอลลาร์สหรัฐ และถ้าคนเริ่มซื้อขายน้ำมันบนเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ก็คือจบ

นอกจากนี้อีกเหตุผลที่เขาคิดว่าดอลลาร์สหรัฐอาจเสียมูลค่า ก็คือในขณะที่ชาติอื่น ๆ เข็น CBDC ออกมารัว ๆ แต่อเมริกากลับไม่มีแผนเดียวกัน และยังเถียงกันอยู่เลยว่าควรจะมีไหม ซึ่งในเชิงประโยชน์ใช้สอย CBDC มันจะช่วยลดต้นทุนธุรกรรมลงมาก ๆ และคนที่ทำการค้าระหว่างประเทศก็น่าจะชอบระบบนี้ ชาติต่าง ๆ เลยพยายามทำกันมาให้เร็วที่สุด ส่วนอเมริกา ประเด็นที่เป็น "อุปสรรค" สำคัญของ CBDC คือสปิริตของชาติอเมริกาคือการ "ไม่ไว้ใจรัฐ" และ CBDC ถ้าจะพูดง่าย ๆ คือเหมือนเอาเงินฝากไว้กับรัฐทั้งหมด ให้รัฐดูแลบัญชีทั้งหมด นั่นหมายความว่ารัฐจะเห็นการใช้เงินของประชาชนทั้งหมด และมีอำนาจในการระงับบัญชีหรือกระทั่งลบเงินทิ้งด้วย ซึ่งอะไรแบบนี้สังคมที่คนไม่ไว้ใจรัฐแบบอเมริกานั้นรับไม่ได้

ทั้งหมดนี้ก็จะเห็นว่า เราพูดง่าย ๆ ได้เลยว่าเหตุผลที่เขามองว่าดอลลาร์สหรัฐจะล่มส่วนหนึ่งก็คืออเมริกาไม่อัปเดตระบบการเงินให้ทันกับยุคสมัยนั่นเอง

ภาวะทั้งหมดมันทำให้ "อนาคต" ของดอลลาร์สหรัฐดูจะไม่สดใสแน่ ๆ ในระยะยาวถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยน ซึ่งจริง ๆ พวกนักวิเคราะห์ก็ไม่ได้บอกว่าดอลลาร์จะ "ล่ม" ในวันสองวันหรือเดือนสองเดือน มันว่าด้วยสเกลเป็นปี และกระบวนการล่มสลายอาจกินเวลาเป็นสิบปีก็ได้

ทั้งหมดดูยาวนานมาก แต่ประเด็นคือที่เขาพูดกันช่วงนี้ เพราะเขาเริ่มเห็น "จุดจบ" ของดอลลาร์สหรัฐอยู่ลิบ ๆ โดย "จุดจบ" นี้ไม่มีใครเคยจินตนาการมาก่อนว่าจะเป็นไปได้ มันก็เลยเป็น "เรื่องใหญ่" และก็ว่ากันตรง ๆ อีก พวกนักวิเคราะห์ ก็กำลังส่งสัญญาณให้รัฐบาลกลางอเมริกาทำอะไรบางอย่างให้ "จุดจบ" ที่ว่าไม่มีวันมาถึง ดังเช่นที่เป็นมาตลอด

Ref.

https://www.cnbc.com/2020/06/30/the-us-can-change-the-world-by-devaluing-the-dollar-analyst-says.html 

https://news.bitcoin.com/economist-peter-schiff-warns-of-us-dollar-devaluation-and-biggest-economic-disaster-in-history/ 

https://news.bitcoin.com/former-treasury-official-warns-of-complete-economic-implosion-if-us-dollar-loses-global-reserve-currency-status/ 

https://news.bitcoin.com/us-dollar-could-lose-most-of-its-value-in-5-years-investment-manager-warns/