ถ้าใครติดตามข่าวหุ้นอเมริกาก็คงจะรู้ว่าตอนนี้บรรยากาศมันเปลี่ยนระดับที่คนเคลมกันว่ามัน "เปลี่ยนยุคสมัย" กันไปแล้ว คือมันถึงจุดจบของหุ้นกลุ่ม FAANG และเข้าสู่ยุคใหม่ซึ่งทาง Bank of America ก็เรียกมันว่าเป็นยุคของหุ้น 7 มหัศจรรย์

แล้วทั้งหมดนี้มันคืออะไร? ถ้าจะพูดถึงในส่วนคอนเซปต์เรื่องกลุ่ม FAANG อันนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ปี 2013 ยุคนั้น สื่อเริ่มพูดถึงคำว่า Big Tech ซึ่งหมายถึงบริษัทอเมริกันที่เป็นยักษ์ใหญ่หรือผู้นำอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทั่ว ๆ ไปเขาจะนับกัน 5 บริษัท คือ Amazon, Apple, Facebook, Google และ Microsoft

อย่างไรก็ดีในทางหุ้น นักวิเคราะห์หุ้นมองต่างออกไป เพราะในทางหุ้นไม่ใช่พวก Big Tech ทุกบริษัทจะมีหุ้นที่หวือหวาหรือคาดหวังว่ามันจะโตต่อมาก ๆ ได้ เขาเลยสร้างคอนเซปต์หุ้นกลุ่ม FANG ขึ้นมาในปี 2013 ซึ่งหมายถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มจะโตมาก ๆ ในอนาคต แบบที่จะเป็นตัวลากตลาดหุ้นให้โตขึ้น ซึ่งคำว่า FANG คือมาจากตัวย่อบริษัทในกลุ่มนี้ ซึ่งคือ Facebook, Amazon, Netflix และ Google

สังเกตว่ามันมีความต่างจาก Big Tech คือจะไม่มี Microsoft และ Apple แต่จะมี Netflix เพิ่มขึ้นมา ซึ่งมันก็สะท้อนว่าเขามอง Microsoft และ Apple บริษัทมันใหญ่จริง แต่หุ้นมันไม่โตแล้ว แต่ Netflix นี่แหละที่มีอนาคตจะโตได้อีกเยอะ

หลังจากการสร้างคอนเซปต์กลุ่ม FANG ขึ้นมา มันก็เป็นดังที่ทุกฝ่ายคาด หุ้นทุกตัวโตระดับบ้าบอ อย่างไรก็ดี หลังจากหุ้น Apple เริ่มโตมาเรื่อย ๆ มันเลยเพิ่ม Apple เข้าไปด้วย ตัวย่อเลยมีตัว A เพิ่มมาอีกตัวเป็น FAANG

กลุ่ม FAANG ทรงพลังมาตลอดในตลาดหุ้นอเมริกา ราวปี 2020 มูลค่าบริษัทรวมกันประมาณ 20% ของดัชนี S&P500 ซึ่งเวลาตลาดขาขึ้น และดัชนีขึ้นเป็นผลงานของหุ้นกลุ่มนี้ราว ๆ 30 - 40% หรือพูดง่าย ๆ บริษัทกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะกินสัดส่วนในดัชนีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะมันมูลค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ๆ นั่นเอง

อย่างไรก็ดีเมื่อราว ๆ เดือนพฤษภาคม 2023 ก็เริ่มมีการประกาศว่ามันถึงจุดจบของกลุ่ม FAANG และเข้าสู่ยุคหุ้น Magnificent 7 (หรือ 7 มหัศจรรย์ ตามชื่อหนังจากปี 1960 – ดังนั้นคนคิดก็น่าจะแก่อยู่) โดยใน "7 มหัศจรรย์" นี้ก็มี “4 มหัศจรรย์” เจ้าเก่าจากยุค FAANG อย่าง Facebook, Amazon, Apple และ Google โดยมีเพิ่มมาอีก "3 มหัศจรรย์" คือ Microsoft, Nvidia และ Tesla

แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้?

อย่างแรกเลย ทำไมตัด Netflix ออก? คำตอบเร็ว ๆ คือเขามองว่า Netflix ถึงทางตันแล้ว มันขยายฐานผู้ใช้ไม่ได้ ต้องมาปราบการแชร์บัญชี หรือพูดง่าย ๆ คือมันไม่ "โต" แล้ว ไม่มีลักษณะเป็น Growth Stock เหมือนยุครุ่งเรือง ดังนั้นมันไม่ "มหัศจรรย์" จึงต้องตัดออก

แต่ "ความน่าสนใจ" จริง ๆ คือ ถ้าไปดูหุ้น ก็จะรู้ว่าหุ้น Netflix จริง ๆ ในปีนี้หรือในรอบ 5 ปีก็มีทิศทางที่ดีกว่าหุ้น "มหัศจรรย์" บางตัวอีก ดังนั้นมันอาจไม่ใช่เรื่องตัวเลขเท่าเรื่อง "พื้นฐาน" ของบริษัท

และถ้าถามถึง "พื้นฐาน" ที่ "7 มหัศจรรย์" มีร่วมกัน คำตอบสั้น ๆ คือ AI ซึ่งเป็นกระแสลงทุนที่แรงและชัดมากในช่วงไตรมาสแรกปี 2023

คือทุกบริษัทใน "7 มหัศจรรย์" ดูจะมีศักยภาพเป็นผู้นำด้าน AI ได้หมด และมีการลงทุนด้าน AI จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

Microsoft ที่ไปซื้อหุ้นเจ้าของ ChatGPT อย่าง OpenAI เอามาเป็นพาร์ตเนอร์

Facebook ที่เลิกบ้า Metaverse และหันมาเอาดีทาง AI แล้ว

Amazon ที่ใช้ AI ในงานหลังบ้านมายาวนาน และพร้อมจะประสาน AI ในบริการ Amazon Web Service

Apple ที่ใหญ่พอจะทำ AI ใช้ในบริษัทตัวเองและมีฐานผู้ใช้อุปกรณ์และระบบนิเวศมหาศาล

Google ที่มี AI ที่พัฒนามาแล้วอยู่ในมือแทบทุกรูปแบบซึ่งพร้อมจะปล่อยมาถ้ามีคู่แข่ง

Tesla ที่มี AI ด้านยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในมือ

Nvidia ที่กำเทคโนโลยีผลิต "การ์ดจอ" ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการประมวลผลของ AI ทั้งหมด

หรือพูดง่าย ๆ หุ้นกลุ่ม "7 มหัศจรรย์" นั้นได้ "ความมหัศจรรย์" มาจาก AI นั่นเอง

และนัยมันคืออะไร?

จริง ๆ อาจกลับไปที่การตัด Netflix ออกจากกลุ่ม

ตั้งแต่ยุคของ FAANG แล้ว คนมองว่า Netflix นั้นแม้ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่โตมาก แต่มัน "ไม่เข้าพวก" เพราะถึงโตมาแค่ไหนบริษัทมันเล็กกว่าบริษัทอื่นเยอะ บริษัทอื่นเขาอยู่ Top 20 หุ้นอเมริกามาตั้งแต่ยุคโน้นแล้ว ส่วน Netflix เข้า Top 30 ยังไม่ได้เลย

และนี่คือความต่างของ FAANG กับ Magnificent 7 เพราะหุ้นทุกตัวใน Magnificent 7 คือหุ้น Top 10 อเมริกา ณ ปัจจุบันหมด (อีก 3 ตัว ใน Top 10 คือ Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett, Visa บริษัท Payment Gateway ระดับโลก และ UnitedHealth บริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่สุดของอเมริกา) โดยก็ต้องเข้าใจอีกว่าเอาจริง ๆ บริษัทพวกนี้ไม่ใช่แค่ Top 10 ของหุ้นอเมริกาเท่านั้น แต่มันคือ Top 10 ของบริษัทในโลกด้วย ถ้าวัดตามมูลค่าตลาด มันใหญ่ขนาดนั้น (ปกติที่เขานับกัน มันแค่ Aramco ของซาอุดีอาระเบียที่มูลค่าบริษัทใหญ่กว่าพวกยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาพวกนี้)

ซึ่งในแง่นี้ Magnificent 7 นั้นถ้า "มหัศจรรย์" จริง มันก็คงจะไม่ใช่แค่วนเวียนและแย่งอันดับใน Top 10 ของตลาดหุ้นอเมริกาเท่านั้น แต่การรุ่งและร่วงของบริษัทพวกนี้ก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักมาก ๆ กับตลาดหุ้นอเมริกา เพราะสัดส่วนมูลค่าบริษัทรวมกันมันน่าจะกินไป 30% ของ "ตลาด" เลย

ดังนั้นในแง่นี้ Magnificent 7 จึงไม่ใช่แค่หุ้นที่ต้องตามถ้าจะลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นหุ้นที่ต้องตามเลยถ้าต้องการประเมินสภาพตลาดหุ้นของอเมริกา เพราะร่วงลงมาตัว มันดึงตลาดลงได้เลย และก็เช่นกัน ถ้าขึ้นไปแบบพรวดพราด ก็ดึงตลาดขึ้นได้

และสุดท้ายการจับตาการลงทุนของบริษัทพวกนี้ทั้งหมดก็สำคัญ เพราะบริษัทพวกนี้มีทุนในมือพอจะสร้างตลาดสินค้าและบริการอะไรขึ้นมาใหม่ทั้งตลาด หรืออย่างน้อย ๆ ก็สร้าง "กระแส" ว่าจะเกิดตลาดแบบที่ว่านั้นให้คนคึกคักกันสักพักใหญ่

ส่วนจะเกิดจริงไหมก็ไม่แน่ เพราะ Facebook เคยใช้เงินหลักแสนล้านบาทพยายามสร้างตลาด Metaverse จนพวกนักลงทุนเชื่อกันว่ามันจะเกิดจริง ๆ แต่สุดท้ายเป็นยังไงเราก็เห็นกันอยู่

 

Ref.

https://stockhead.com.au/news/tech-heavy-faang-is-finished-meet-the-magnificent-7-bank-of-america-says-they-could-ruin-us-all/ 

https://www.investopedia.com/terms/f/faang-stocks.asp 

https://companiesmarketcap.com/usa/largest-companies-in-the-usa-by-market-cap/