ปี 2023 เป็นปีที่มีปรากฏการณ์ทางประชากรใหญ่มาก ระดับที่อาจจะต้องเปลี่ยนแบบเรียน เพราะปีนี้คือปีที่แทบทุกองค์กรที่จับตาด้านประชากรในโลกพูดตรงกันว่าจีนจะไม่ใช่ชาติที่ประชากรมากที่สุดอีกแล้ว ส่วนชาติที่มาเป็นชาติอันดับ 1 ในแง่จำนวนประชากรจะเป็นอินเดีย และก็คงจะเป็นถาวรเลยด้วย เพราะอัตราการเพิ่มของประชากรอินเดียสูงกว่าจีนซึ่งตอนนี้ประชากรเริ่มลดแล้ว

ก็แน่นอน นี่ก็จะเป็นการโหมโรงของการมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลกทุกด้านของจีน และในแง่ของนักลงทุน มิติที่น่าสนใจของอินเดียก็คงเป็นมิติด้านเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจอินเดียเป็นยังไง? อันนี้อาจจะเป็นคำถามที่ใหญ่ไป เพราะถ้าปลายทางของคำถามคือ “จะลงทุนยังไง” สิ่งที่น่าจะจำมากกว่าก็คือ เรื่องดัชนี 2 ตัวของอินเดียอย่าง SENSEX และ NIFTY 50 ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดตลาดหุ้นของอินเดีย

ซึ่งถ้าไม่เคยได้ยินสองดัชนีนี้มาก่อน ก็คือว่าอ่านถูกบทความแล้ว

คือแบบนี้ครับ อินเดียเนี่ย มันมี 2 ตลาดหุ้นหลักใหญ่ ๆ คือ Bombay Stock Exchange (BSE) กับ National Stock Exchange (NSE) ซึ่งความต่างถ้าจะเทียบกับก็คล้าย ๆ New York Stock Exchange กับ NASDAQ ของอเมริกา

กล่าวคือ BSE เป็นตลาดที่เก่าแก่กว่า ตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 มีหุ้นในตลาดมากถึงกว่า 5,000 ตัว แต่เป็นตลาดที่เขาถือว่าโลว์เทค มีผลิตภัณฑ์น้อย มีมูลค่าซื้อขายต่ำ

แต่อีกด้าน NSE เป็นตลาดที่เกิดทีหลังเป็นร้อยปี เพราะเพิ่งเกิดมาปี 1992 นี้เอง แต่ทุกอย่างมันทันสมัยหมด มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเยอะกว่า ซัปพอร์ตเทคโนโลยีการซื้อขายเยอะกว่า มันเลยทำให้มูลค่าการซื้อขายสูงกว่า BSE และพวกบริษัทเทคโนโลยีก็จะชอบมาซื้อขายหุ้นในตลาดนี้กัน โดยทั้งหมดมันมีหุ้นประมาณ 1,700 ตัวซื้อขายอยู่ในตลาด

ทั้ง BSE และ NSE ล้วนมีฐานอยู่ที่เมืองมุมไบ (ชื่อเก่าคือบอมเบย์) และมีมูลค่ารวมของตลาดใกล้ ๆ กัน และอันดับของมันในตลาดหุ้นโลกก็จะสลับกันไปมาประมาณอันดับ 9 กับ 10 แต่พอเอามาบวกกันทั้งสองตลาด มันก็จะเห็นเลยว่ามูลค่าของหุ้นในตลาดอินเดียเป็นรองแค่อเมริกากับจีนเท่านั้น คือมูลค่าเยอะกว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น

อันนี้คือเบสิก แล้วอะไรคือ SENSEX และ NIFTY 50?

คำตอบเร็ว ๆ คือดัชนีหลักของ 2 ตลาด โดย SENSEX ชื่อเต็ม ๆ มันคือ BSE SENSEX โดย SENSEX มันย่อจากคำว่า Sensitivity Index ซึ่งในทางปฏิบัติมันก็คือดัชนีหุ้นที่อิงกับมูลค่าหุ้น 30 ตัว ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด BSE นั่นเอง

ส่วน NIFTY 50 ก็คือดัชนีของตลาด NSE ที่อิงกับหุ้นใหญ่ที่สุด 50 ตัว ไม่มีอะไรซับซ้อน

ทีนี้ ดัชนี 2 ตัวต่างกันยังไง ตัวไหนน่าลงทุน?

คือต้องเข้าใจก่อนว่าพวกบริษัทใหญ่ ๆ ในอินเดีย มีการซื้อขายหุ้นในทั้ง 2 ตลาดอยู่แล้ว ดังนั้นเราอาจเจอหุ้นบริษัทเดียวกันในทั้ง 2 ดัชนี เช่น พวกหุ้นธนาคารใหญ่ ๆ ต่าง ๆ ของอินเดีย หุ้นของ Unilever สาขาอินเดีย หุ้นของบริษัทในเครือ Tata หรือหุ้นของ Reliance Industries ที่เป็นบริษัทของ Mukesh Ambani คนที่รวยอันดับ 1 ของอินเดีย บริษัทพวกนี้เราจะเจอในทั้ง 2 ดัชนี

แต่ถ้าจะเป็นพวกบริษัทเทคใหม่ ๆ อย่างกลุ่ม Adani Group ที่เป็นของคนรวยอันดับ 2 ของอินเดียอย่าง Gautam Adani อันนี้จะไม่ปรากฏใน SENSEX แต่จะอยู่ใน NIFTY 50

ซึ่งพูดง่าย ๆ NIFTY 50 ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในการลงทุน เพราะมันค่อนข้างกว้างและครอบคลุมกว่า ซึ่งในไทย ถ้าจะซื้อพวกกองทุนรวมดัชนีหุ้นอินเดีย ก็ต้องดูดี ๆ ว่าเป็น SENSEX หรือ NIFTY 50 เพราะมันมีความต่างดังที่ว่ามา

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดียยังมีศักยภาพจะโตอีกมาก เพราะคนอินเดียยังซื้อขายหุ้นกันน้อยแบบแค่ 3% ของประชากร ซึ่งต่างจากอเมริกาที่คนมีหุ้นกัน 27% ของประชากร และจีนที่ 10% ของประชากร ความที่อินเดียเป็นประเทศที่เศรษฐกิจกำลังโต มันมีความเป็นไปได้สูงเลยว่าสักพักมันจะมีจังหวะหุ้นอินเดียโตรัว ๆ แบบที่หุ้นจีนเคยโตรัว ๆ ไปพร้อม ๆ กับเศรษฐกิจจีนช่วงก่อนหน้านี้

 

Ref.

https://byjus.com/free-ias-prep/difference-between-nse-and-bse/ 

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_stock_exchanges 

https://en.wikipedia.org/wiki/Bombay_Stock_Exchange 

https://en.wikipedia.org/wiki/National_Stock_Exchange_of_India 

https://en.wikipedia.org/wiki/BSE_SENSEX 

https://en.wikipedia.org/wiki/NIFTY_50