ตลาดการเงินทั้งหลายตั้งแต่หุ้นยันคริปโต คือตลาดที่หลาย ๆ คนเข้ามาทำมาหากิน และแม้ว่าคนไทยทั่วไปมักจะมองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น “การพนัน” ที่ไม่ควรจะไปยุ่ง แต่จริง ๆ แล้วการวางแผนการเงินในระยะยาวเพื่อใช้ในวัยเกษียณมันหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เพราะนี่คือวิธีการที่ทำให้ “เงินที่นอนอยู่เฉย ๆ” งอกเงยที่สุด เพราะในความเป็นจริงก็ไม่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญใดในโลกที่จะเอาเงินกองไว้เฉย ๆ หรือฝากธนาคารกินดอกเบี้ย แต่มันต้องเอาไป “ลงทุน” ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเอาไปให้ชาวบ้านกู้ยืมในรูปของการซื้อพันธบัตร การซื้อหุ้นเพื่อหวังผลกำไรในระยะยาว หรือกระทั่งการเดิมพันกับการไปลงทุนใน Startup ที่มีอนาคต

ดังนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เลี่ยงได้ ทุกคนควรจะรู้พื้นฐานว่ามันทำงานอย่างไร? หรือให้ตรงกว่านั้น คือ เราจะทำเงินจากมันได้อย่างไร?

การทำเงินจากตลาดเงินแบ่งได้เป็นสองแบบใหญ่ ๆ ที่เรียกว่าการเทรดกับการลงทุน ซึ่งสองอย่างนี้แม้ว่าจะเป็นการทำเงินกับพวกหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ทางการเงินผ่านการซื้อขายเหมือนกัน แต่พื้นฐานวิธีคิดและเทคนิคต่างกันโดยสิ้นเชิง

การเทรดนั้นทำเงินจากธรรมชาติระยะสั้นของตลาดที่มูลค่าสินทรัพย์วิ่งขึ้นลงตลอดเวลา ซึ่งการทำเงินในระยะสั้นนี้ก็ถือว่าเสี่ยงมาก ๆ ต้องใช้ความเชี่ยวชาญถึงจะพลาดน้อยที่สุดและไม่หมดเนื้อหมดตัว โดยมันก็จะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่เรียกรวม ๆ ว่า การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (technical analysis) หรือที่คนทั่ว ๆ ไปมักจะเข้าใจว่าคือการ “วิเคราะห์กราฟ” และดูตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อคาดเดาตลาดว่าจะขึ้นหรือลง ซึ่งตัวชี้วัดมีหลายสิบตัว และนักเทรดมืออาชีพแต่ละคนก็จะมีเทคนิคการดูตัวชี้วัดต่าง ๆ กันหรือมี “สูตร” การเทรดของตัวเอง และความพิเศษของการเทรดก็คือ มันสามารถ “ทำกำไรในตลาดขาลง” ได้ด้วยผ่านเทคนิคที่เรียกว่า “ชอร์ต” ซึ่งคือการยืมหลักทรัพย์ชาวบ้านมาขายในราคาที่แพง ก่อนที่จะซื้อไปคืนเขาตอนที่ราคาตกลงแล้ว และทำกำไรในส่วนต่างราคาตรงนั้น

ซึ่งนักเทรดก็เรียกได้ว่า จะแบ่งกันตามระยะเวลาการเทรด เช่น ถ้าระยะเวลาซื้อขายหลายเดือนหรือเป็นปีจะเรียกเทรดแบบ Position ระยะเวลาเป็นสัปดาห์หรือเดือนจะเรียกเทรดแบบ Swing ระยะเวลาซื้อขายทำกำไรให้จบในวันเดียวจะเรียกเทรดแบบ Day หรือ “เดย์เทรด” ที่หลายคนคงเคยได้ยิน หรือถ้าจะทำกำไรในการเปลี่ยนแปลงของราคาในไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาทีก็จะเรียกเทรดแบบ Scalp (แบบหลังสุดมักจะใช้ทำกำไรจากการแกว่งไกวของราคาในระยะสั้นหรือกระทั่งระยะกลาง) นักลงทุนจะเห็นว่าสิ่งสำคัญคือทิศทางของราคาในระยะยาว ซึ่งการคาดเดาทิศทางของราคาในระยะยาวนั้นโดยทั่วไปจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า การวิเคราะห์พื้นฐาน (fundamental analysis) ซึ่งในทางปฏิบัติคือการให้ความสนใจความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ของบริษัทกับราคาหุ้น ให้ความสนใจกับงบดุลและงบกำไรขาดทุนของบริษัท ไปจนถึงข่าวสารด้านความคืบหน้าต่าง ๆ ของบริษัท เป็นต้น ซึ่งในทำนองเดียวกัน สำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช้หุ้นของบริษัท ปัจจัยต่าง ๆ ในโลกความเป็นจริงก็ถือเป็นปัจจัยพื้นฐาน เช่น การที่ธนาคารต่าง ๆ ยอมรับ Bitcoin ไปจนถึงการที่รัฐเอา Bitcoin เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อราคา Bitcoin เป็นต้น

นักลงทุนแท้ ๆ มักจะไม่สนใจปัจจัยเชิงเทคนิคเลย เพราะเขาจะถือว่าการแกว่งไกวของราคาคือมายาภาพ แต่เขาจะเห็นทิศทางของราคาบนฐานของความเปลี่ยนไปบนโลกแห่งความจริงที่ได้เกิดขึ้น และคาดว่าจะเกิดขึ้น และ “ลงทุน” บนฐานของการคาดเดาทิศทางที่ว่า

แนวทางการเทรดและการลงทุนมันมีความแตกต่างตามที่ว่ามานี้ ซึ่งความต่างนี้มันก็ไม่ใช่ความต่างเชิงเทคนิคการทำเงินและวิธีการที่จะใช้วิเคราะห์เท่านั้น แต่มันต่างกันตามธรรมชาติของสินทรัพย์ด้วย ซึ่งว่ากันโดยทั่วไปนักลงทุนจะชอบสินทรัพย์จำพวกหุ้น เพราะมันมีปัจจัยพื้นฐานให้วิเคราะห์ได้เยอะมาก ๆ ตั้งแต่งบการเงินของบริษัทเอง ไปจนถึงเรื่องราวข่าวสารในโลกที่กระทบต่อบริษัทหรืออุตสาหกรรมนั้น

ส่วนนักเทรด โดยทั่วไปจะชอบสิ่งที่มีความแกว่งไกวมาก ๆ เพราะยิ่งแกว่งเท่าไรก็ยิ่งทำเงินได้เยอะ อย่างเช่น สกุลเงินต่างประเทศและคริปโต ซึ่งอย่างหลังนี้ในแง่หนึ่งแทบจะสร้างมาเพื่อนักเทรดเลย เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ราคาแกว่งที่สุดในโลกแล้ว และไม่มีใครสามารถกำกับดูแลได้ด้วย เพราะมันไม่มีศูนย์กลาง

ทั้งนี้ นอกจากลักษณะสินทรัพย์ที่นักลงทุนกับนักเทรดจะชอบต่างกันแล้ว แพลตฟอร์มที่ใช้ก็ไม่เหมือนกันด้วย นักลงทุนในหุ้นชาวไทยไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่มีแอป Streaming ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในขณะเดียวกัน นักเทรดก็อาจไม่มีแอปนี้บนมือถือของตัวเอง แต่จะมีแอปเทรดสกุลเงินต่างประเทศ ไปจนถึงคริปโตมากกว่า ซึ่งธรรมชาติของแพลตฟอร์มที่ต่างกันนี้ แม้ว่าจะเป็นแอปซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินเหมือนกัน แต่ “เครื่องมือ” ที่มีให้ก็ไม่เหมือนกัน แอปซื้อขายหุ้นปกติก็จะไม่มีพวกเครื่องมือเกี่ยวกับตัวชี้วัดเชิงเทคนิคมากนัก แต่ถ้าเป็นแอปสำหรับซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศหรือคริปโต การมีเครื่องมือพวกนี้ให้ถือว่าจำเป็นมาก เพราะ “ลูกค้า” ที่มาใช้บริการแพลตฟอร์มคือมาเทรดทั้งนั้น และการไม่มีเครื่องมือให้ก็จะทำให้ลูกค้าลำบาก

สุดท้าย เอาจริง ๆ การใช้เทคนิคแบบข้ามสินทรัพย์ก็ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เทรดหุ้นในเว็บเทรดก็มีเป็นปกติ ส่วนคนที่ลงทุนในคริปโตแบบถือยาว ๆ ข้ามปีเพื่อทำกำไรในระยะยาวก็มีไม่น้อย และก็ไม่ต้องพูดถึงว่าคน ๆ เดียวจะเป็นทั้งนักลงทุนและนักเทรดไปพร้อมกันก็ได้ มันไม่มีกติกาอะไรห้าม คนจะลงทุนหุ้นเพื่อความมั่งคั่งมั่นคงในระยะยาว พร้อม ๆ กับเทรดคริปโตเพื่อ “หาเงินกินข้าว” ก็ได้ ไม่แปลก 

เรื่องพวกนี้มันไม่มีถูกผิดสำหรับทุกคน เพราะสุดท้าย โลกทางการเงินนั้นมันมีเสรีภาพพอสมควรให้คนเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและสิ่งที่ตัวเองถนัด คนที่ต้องทำงานประจำส่วนใหญ่ที่รับข้อมูลข่าวสารตามปกตินั้นโดยทั่วไปก็จะเป็นได้แค่ “นักลงทุน” ที่ลงทุนในระยะยาว ส่วนคนที่ไม่ได้ทำงานประจำและมีเวลาว่างมากมายก็อาจจะสามารถเป็นนักเทรดได้ เพราะการเทรดนั้นต้องใช้ความจดจ่อพร้อมกับความรวดเร็ว เรียกได้ว่าพลาดไปไม่กี่วินาทีก็เสียหายมหาศาลได้ ซึ่งทั้งหมดก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเวลาว่างเท่านั้น แต่มันคือเรื่องของความรู้สึกนึกคิดและความสามารถด้วย เช่น คนที่สามารถเดาทิศทางเศรษฐกิจการเมืองในภาพใหญ่ และความเป็นไปของอุตสาหกรรมในโลกพร้อมกับมีความอดทน ก็น่าจะสามารถเป็นนักลงทุนที่ดีได้ ส่วนคนที่มองเศรษฐกิจภาพใหญ่ไม่ออก แต่มีความสามารถในการคาดเดาการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้นได้อย่างแม่นยำก็อาจจะเหมาะกับการเป็นนักเทรดมากกว่า เป็นต้น