รู้หรือไม่ว่า บิตคอยน์ (Bitcoin: BTC) ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจในบางประเทศแล้ว?

รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ได้ยกสถานะให้กับบิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หรือ Legal Tender เรียบร้อยแล้ว ประชาชนของประเทศเหล่านี้จะสามารถนำบิตคอยน์ไปใช้ชำระเงินได้ถูกต้องตามกฎหมาย เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ตนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการเงินที่จำเป็นได้นั่นเอง

แล้วการใช้บิตคอยน์ในฐานะเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายคืออะไร? 

ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของประเทศนั้น ๆ จะมีอำนาจในการกำหนดสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในระบบเศรษฐกิจของพวกเขา กล่าวคือ สิ่งที่มีมูลค่าใด ๆ ก็ตามที่พวกเขามองว่าเหมาะกับการเป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายก็สามารถนำไปใช้ในการชำระค่าสินค้าและบริการในร้านค้าต่าง ๆ ได้ ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ได้แก่ ธนบัตร 10 ดอลลาร์สหรัฐ และเหรียญ 50 เซนต์

ดังนั้น การยกสถานะให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายจึงหมายความว่า เมื่อประชาชนต้องการซื้อกาแฟหนึ่งแก้ว พวกเขาสามารถใช้บิตคอยน์ชำระค่ากาแฟได้ ถึงกระนั้น ถ้าหากว่าธนาคารกลางไม่ได้ประกาศให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ความเสี่ยงของการรับชำระค่าสินค้าและบริการเป็นบิตคอยน์ก็จะตกอยู่ที่เจ้าของร้านค้าหรือผู้เสนอบริการเอง ในทางตรงข้าม หากธนาคารกลางมีการรับรองสถานะบิตคอยน์ บิตคอยน์ก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางแลกเปลี่ยนมูลค่าในระบบเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ

ปัจจัยใดบ้างที่ผลักดันให้ประเทศหนึ่งประกาศให้บิตคอยน์เป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย?

การที่รัฐบาลของประเทศใด ๆ จะประกาศรับรองสินทรัพย์ใด ๆ ให้เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายนั้นมักจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค โดย ณ ตอนนี้ หลายประเทศก็เริ่มศึกษาสกุลเงินดิจิทัลกันแล้ว ทว่าสำหรับบางประเทศนั้น การออกเงินตราดิจิทัลก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศได้สักเท่าไร ตัวอย่างเช่น ประเทศอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลาประสบกับภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง และดำเนินการได้ด้วยสกุลเงินที่มีมูลค่าในระบบเศรษฐกิจของประเทศอื่น

ในขณะที่ประเทศเอลซัลวาดอร์ ปานามา กัวเตมาลา และฮอนดูรัสเป็นประเทศที่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งเงินเข้าประเทศ ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ราว 24.07% ของเอลซัลวาดอร์มาจากเงินที่ส่งเข้ามาในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลของประเทศดังกล่าวจึงต้องการช่องทางแลกเปลี่ยนมูลค่าที่ไม่มีข้อกำจัดเรื่องพรมแดน 

นอกจากนี้ การเข้าถึงบริการทางการเงินก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ รับรองสถานะทางกฎหมายของบิตคอยน์ ถึงแม้ว่าประสบการณ์การใช้งานบิตคอยน์ของลูกค้านั้นจะไม่ง่ายดายเลย แต่ก็ต้องกล่าวว่า การทดลองสร้างระบบนิเวศบิตคอยน์ในระดับท้องถิ่นของประเทศเอลซัลวาดอร์ยังประสบผลสำเร็จอยู่บ้าง ดังนั้น อาจพูดได้ว่า สกุลเงินดิจิทัลช่วยให้เอลซัลวาดอร์เข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น รวมถึงลดค่าธรรมเนียมการส่งเงินเข้าประเทศอีกด้วย

ประเทศที่ประกาศให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

เอลซัลวาดอร์เป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค อีกทั้งประธานาธิบดีของประเทศคนปัจจุบันอย่าง Nayib Bukele ยังเต็มใจที่จะทดลองใช้บิตคอยน์ และเป็นสาวกบิตคอยน์ตัวยงอีกด้วย 

ส่วนประเทศที่สองคือ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (Central African Republic: CAR) ซึ่งถึงแม้จะเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เช่น ทองและเพชร และมีขนาดเศรษฐกิจ 2.3 พันล้านดอลลาร์ ทว่าการเข้าถึงบริการทางการเงินของประเทศนั้นกลับอยู่ในระดับต่ำ และประชาชนต้องพึ่งพาเงินที่ส่งมาจากต่างประเทศ 

จุดมุ่งหมายของการยกสถานะบิตคอยน์ให้เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ต้องพึ่งพานโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมเศรษฐกิจภายในประเทศของตน ด้วยเหตุนี้ ประเทศเหล่านี้จึงต้องมีสกุลเงินที่เชื่อถือได้ พร้อมกับความสามารถในการใช้นโยบายเกี่ยวกับสกุลเงินดังกล่าวในช่วงวิกฤตด้วย

ทั้งเอลซัลวาดอร์และสาธารณรัฐแอฟริกากลางระบุว่า พวกเขาต้องการทำให้การโอนเงินเข้าประเทศมีค่าธรรมเนียมที่ถูกลง โดย Bukele คาดการณ์ว่า เอลซัลวาดอร์จะประหยัดเงินจากการส่งเงินเข้าประเทศได้ถึง 400 ล้านดอลลาร์เนื่องจากมีการนำบิตคอยน์มาใช้ภายในประเทศ ซึ่งการใช้โพรโทคอล Bitcoin Lightning Network (LN) ที่มีการทำธุรกรรมนอกบล็อกเชนจะช่วยให้การชำระเงินมีค่าธรรมเนียมที่ถูกลง

ในด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค สกุลเงินของประเทศเหล่านี้ยากต่อการรักษามูลค่าโดยเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ โดยเอลซัลวาดอร์ก็ได้เปลี่ยนไปใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ตระหนักได้ในภายหลังว่า สินค้าส่งออกของประเทศตนส่วนใหญ่เข้าสู่สหรัฐฯ และเมื่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนไปด้วย 

นอกจากนี้ รัฐบาลของประเทศเอลซัลวาดอร์ยังไม่สามารถควบคุมนโยบายการเงินของสกุลเงินดอลลาร์ได้ เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ดังนั้น ทางการของเอลซัลวาดอร์จึงนำบิตคอยน์มาใช้แก้ปัญหาด้านการส่งเงินเข้าประเทศ และบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

อุปสรรคที่ต้องเจอเมื่อประกาศให้บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลและสภาพคล่องเป็นอุปสรรคสำคัญเมื่อมีการนำบิตคอยน์มาใช้เป็นสกุลเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และยิ่งตลาดสกุลเงินคริปโตนั้นเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นมากขึ้นเท่าไร การเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve: Fed) ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาของสกุลเงินคริปโตมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ประเทศเอลซัลวาดอร์และสาธารณรัฐแอฟริกากลางล้วนแล้วแต่มีสัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรในระดับต่ำ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลของประเทศเหล่านี้จำเป็นจะต้องทำเลยคือ การติดตั้งตู้ ATM สำหรับบิตคอยน์ทั่วประเทศ มิฉะนั้น การใช้บิตคอยน์ชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้างก็แทบจะเป็นเรื่องเหลือวิสัยในประเทศเหล่านี้ไปโดยปริยาย

อุปสรรคอีกอย่างหนึ่งของการนำบิตคอยน์มาใช้คือ ความผันผวนของตลาดคริปโต บิตคอยน์ดิ่งลงมากกว่า 70% จากราคาสูงสุดตลอดกาลเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในขณะเดียวกัน เอลซัลวาดอร์ก็ได้ทำการซื้อบิตคอยน์มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ราคาบิตคอยน์ก็ยังคงร่วงอยู่ ส่งผลให้รัฐบาลเอลซัลวาดอร์กำลังติดดอยอยู่นั่นเอง นอกจากนี้ การที่ประเทศเอลซัลวาดอร์ได้นำเงินของประชาชนไปลงทุนในสินทรัพย์คริปโตที่มีความผันผวนยังทำให้ประเทศมีเงินสดคงเหลือน้อยด้วย ซึ่งก็อาจส่งผลต่ออำนาจในการกู้ยืมเงินจากตลาดต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

โดยทั่วไปแล้ว การกำกับดูแลบิตคอยน์จะขึ้นอยู่กับหน่วยงานท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ และด้วยความที่บิตคอยน์มีลักษณะกระจายศูนย์ ก็ทำให้การแบนบิตคอยน์ในประเทศใดประเทศหนึ่งไม่มีผลโดยตรงต่อการใช้บิตคอยน์ของอีกประเทศ อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ประกาศคุมเข้มสกุลเงินคริปโตแล้ว ตลาดคริปโตจะต้องมีอันเป็นไปทุกที การเคลื่อนไหวของราคาจะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศที่ใช้บิตคอยน์เป็นเงินถูกกฎหมายและทุนสำรองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้