หนังสือสอนเทรดจำนวนมากย้ำเสมอว่า “นักเทรด” เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในโลก ซึ่งทุกคนที่เคยอยู่ในตลาดก็คงจะตระหนักถึงความเสี่ยงนี้ได้ เพราะคงไม่มี “อาชีพ” ในในโลกที่สิ่งทรัพย์แกว่งไกวเท่ากับ “นักเทรด” อีกแล้ว เว้นแต่เราจะนับ “นักพนัน” เป็นอาชีพ

สำหรับคนไม่คุ้นกับโลกของการเทรด เวลาเห็นนักเทรดอาชีพ ก็อาจจะคิดว่าพวกนี้ก็แค่โชคดีบ้าง บางคนก็อาจมองว่าจริงๆ เป็นมิจฉาชีพที่ใช้การเทรดบังหน้าบ้าง เพราะคนทั่วไปคิดว่าการเทรดไม่ได้ต่างจาก “การพนัน” ที่ “ขึ้นอยู่กับดวง” เท่านั้น ไม่ใช่ “อาชีพ” จริงๆ

แต่นักเทรดอาชีพทุกคนก็คงส่ายหน้า เพราะการเทรดจริงๆ จัง มันเหนื่อยไม่แพ้ “งาน” อื่นๆ มันเป็นงานที่ต้องตัดสินใจตลอดเวลา อย่างรวดเร็วด้วย มันไม่ใช่จิ้มมั่วๆ หรือแทงสูงแทงต่ำ มันต่างกันแบบคนละโลกเลย หรือพูดอีกแบบ อาชีพนักเทรด มันต้องใช้ “ฝีมือ” ด้วยเพื่อจะอยู่รอด มีแต่ “ดวง” น่ะไม่รอดแน่ๆ

แล้วอะไรคือ “ฝีมือ” ที่ว่า สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องการเทรดหรือมือใหม่ สิ่งที่ดูจะเป็นคำตอบคือ ความสามารถในการดูกราฟ หรือดูตัวชี้วัดทางเทคนิคที่หลากหลาย มันน่าจะเป็นเรื่องของ “ฝีมือ” ที่ว่า คือยิ่งรู้เยอะ ก็ยิ่ง “มีฝีมือ”

แต่สำหรับนักเทรดอาชีพทุกคนก็คงจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ว่ามันเป็นแค่ “เครื่องมือ” เท่านั้น คือมันต้องใช้ แต่มีแค่เครื่องมือ หรือใช้เครื่องมือเป็นมันไม่พอ ที่จะ “ประกอบอาชีพนักเทรด” ได้อย่างปลอดภัย

แล้วอะไรล่ะที่สำคัญ?

คำตอบที่สั้นสุดคือ จิตใจและและวิธีคิดที่ถูกต้อง มันจำเป็นที่สุด

พูดง่ายๆ คือ ต้องมีวิธีคิดที่ถูกต้องกับตลาด และมีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะปฏิบัติตามวิธีคิดนั้นโดยไม่สน “คนส่วนใหญ่” และพร้อมกันนั้น ก็ต้องยืดหยุ่นพอที่จะเรียนรู้ว่าเมื่อไรตัวเองพลาดแล้ววางกลยุทธ์ใหม่ด้วย

นี่เป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยาก เพราะในความเป็นจริง นักเทรดที่เก่งจริงๆ คือคนที่ “เร็วกว่าตลาด” คือซื้อก่อนชาวบ้านตอนราคายังน้อย และขายก่อนชาวบ้านก่อนราคาจะร่วง ซึ่งวิธีคิดที่ถูกต้องนั้นแม้ว่าจะทำให้นักเทรดนั้นยังไงก็ต้องพลาดบ้าง แต่ถ้าพลาดน้อยกว่าครึ่ง ของการเทรดทั้งหมด ก็ชัดเจนว่ามันทำกำไรได้ สร้างรายได้ได้ และต้องถือว่าเป็น “งาน” ได้

ความที่ต้อง “เร็วกว่าชาวบ้าน” นี้ ในทางปฏิบัติ ก็หมายถึงต้องสังเกตตลาดได้อย่างแหลมคมกว่าชาวบ้าน คือต้องรู้ว่าอะไรราคากำลังจะขึ้น ในตอนที่ชาวบ้านยังคิดว่ามันไม่น่าจะขึ้น ซึ่งคนที่ “คิดช้า” พวกนี้และมาเข้าตลาดตอนหลังๆ พวกนี้แหละคือคนที่จะ “ทำกำไร” ให้เราเพราะพวกเขาคือตัวการที่ปั่นราคาสินทรัพย์ขึ้นไปได้สูง

นี่เป็นสิ่งที่ฟังดูง่ายถ้ามองตอนสถานการณ์ผ่านไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง เทรดเดอร์ต้อง “จิตแข็ง” พอสมควรที่จะทำอะไรที่คนในตลาด “ส่วนใหญ่” มองว่าน่าขัน และมีคำเหยียดหยามต่างๆ นาๆ

แล้วถามว่าแล้วเทรดเดอร์จะรู้ “จังหวะซื้อ” ที่คนอื่นไม่เห็นได้ยังไง คำตอบคือการต้องเรียนรู้ปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเชิงพื้นฐานหรือเทคนิค ซึ่งความสามารถของเทรดเดอร์ที่เก่งคือเขาจะเห็น “โอกาสทำกำไร” ในขณะที่คนอื่นยังไม่เห็นอะไร และเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นไร้สาระ

แน่นอนที่ว่านี่นามธรรมมาก เพราะไม่มีใครรู้กฎสากลหรอกว่าเมื่อไรคือจังหวะซื้อหรือขาย ตลาดของสินทรัพย์ต่างๆ มีความต่างกันทั้งนั้น และความดื้อดึงที่จะใช้ความเคยชินตัวเองข้ามตลาดก็จะมีแต่พังกับพัง หุ้นต่างกลุ่มอุตสาหกรรมกันก็มีพฤติกรรมต่างกัน ความรู้และความเคยชินมันใช้ข้ามอุตสาหกรรมไม่ได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงการเอาวิธีคิดแบบเทรดหุ้นมาใช้กับเทรดคริปโตโดยไม่ปรับอะไรเลย มันพังเหมือนกัน

ดังนั้นสิ่งที่เทรดเดอร์ต้องทำเวลาเข้าสู่ตลาดใหม่ก็คือ ใช้เวลามหาศาลในการศึกษาพฤติกรรมของตลาด เพื่อคาดเดาพฤติกรรมของตลาดให้ได้ เพื่อเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และสร้าง “ระบบการเทรด” ที่จะทำให้ทำกำไรได้ต่อเนื่องกับตลาดนั้นๆ

แต่ก็อย่างที่บอก สิ่งที่สำคัญกว่าความรู้ความเข้าใจพวกนี้ก็คือ “จิตใจ” เพราะระบบเทรด ใครก็สร้างได้ ใครก็เอามาใช้ได้ แต่ในทางปฏิบัติ การใช้จริงๆ คนร้อยคนเอาระบบเทรดที่ประสบความสำเร็จมาใช้ ก็ไม่ใช่ร้อยคนที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งบางทีคนที่ล้มเหลวก็จะบอกว่าระบบเทรดนั้นหลอกลวงบ้าง แต่ในความเป็นจริง ความผิดพลาดมันไม่ได้เกิดจาก “ระบบ” ที่มันพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ แต่มันเกิดจากจิตใจล้วนๆ เพราะบางทีอยู่ต่อหน้าตลาด ระบบเทรดนั้นบอกให้เราทำในสิ่งที่ขัดกับสามัญสำนึกมาก และคนจิตไม่แข็ง ก็จะไม่ทำตามระบบเทรด จะทำตามจิตสำนึกหรือความรู้สึก ซึ่งนี่คือการ “ไม่มีวินัยในการเทรด” คือเอาระบบมาใช้ แต่สร้างข้อยกเว้นตามใจชอบ และผลสุดท้าย ในตลาดที่มีแต่ความเสี่ยง การทำผิดไปจากระบบเทรดมากเกินไป ก็ทำให้คนที่เทรดตามระบบที่พัฒนามาดีที่สุดเจ๊งได้เหมือนกัน

ดังนั้นในแง่นี้ สิ่งที่สำคัญพื้นฐานที่สุดที่คนลืมในการ “ฝึกอาชีพ” การเทรดนั้นไม่ใช่การอ่านกราฟ ไม่ใช่การอ่านตัวแปรทางเทคนิค พวกนี้ขยันหน่อยจะฝึกเมื่อไรก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการ “ฝึกจิตใจ” มันคือประเด็นว่าคุณสามารถควบคุมความโลภและความกลัวของตัวเองได้แค่ไหน

นักเทรดที่เก่งจะเห็นโอกาสซื้อในขณะที่คนทั้งหมดมีแต่ความกลัวและสิ้นหวัง และเห็นโอกาสขายในตลาดที่มีแต่ความโลภเข้าครอบงำ

นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่กลับไปที่เบสิคที่สุด ของตลาดการเงินซึ่งก็คือ การที่คุณจะได้กำไร คุณต้องซื้อในจังหวะที่ทุกคนอยากขายทำให้ราคาสินทรัพย์มันต่ำ และขายในจังหวะที่ทุกคนอยากซื้อจนราคาสินทรัพย์มันสูงลิบลิ่ว

แน่นอนว่าหวังหวะซื้อจังหวะขายเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันไปในแต่ละตลาด แต่ประเด็นคือ คุณพร้อมหรือไม่ที่จะ “ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำตลอดเวลา” และนั่นพาเรากลับมาที่ “การฝึกจิตใจ” เพราะคุณอ่านกราฟได้ขนาดไหน เห็นสิ่งต่างๆ ก่อนที่คนเห็นได้เร็วแค่ไหน แต่จิตใจคุณไม่พร้อมจะทำสิ่งที่สวนทางกับ “คนส่วนใหญ่” มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร


Ref.

https://www.investopedia.com/articles/trading/02/110502.asp 

https://www.investopedia.com/articles/basics/13/how-to-develop-trading-brain.asp 

https://www.investopedia.com/terms/t/trading-psychology.asp 


ภาพจาก errante.com