พูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ สิ่งที่มีชื่อเสียงก้องโลกนอกจาก นาฬิกาหรู มีดพกสารพัดประโยชน์ และชีสแล้ว ก็คงจะธนาคารนี่แหละ เพราะถ้าใครดูหนังแอ็กชั่นสมัยก่อน ก็จะพบตลอดว่า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตัวเอกหรือตัวร้าย ถ้ามีการโอนเงิน มันก็จะโอนไปที่บัญชีธนาคารสวิสนี่แหละ

แล้วทำไมต้องสวิส? จริง ๆ มันมีที่มา

ย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อนช่วงปฏิรูปศาสนาคริสต์ในยุโรป มันมีความขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายศาสนจักรและฝ่ายปฏิรูป ซึ่งความขัดแย้งนี้ก็นำไปสู่สงครามสารพัด การพยายาม “ยึดทรัพย์” ผู้ปกครองจึงกลายเป็นเรื่องปกติ มันก็เลยมีความหวาดกลัวว่าจะแพ้ในความขัดแย้งนี้ และพยายามจะเอาเงินไป “ซ่อน” สักที่ และตั้งแต่ตอนนั้น ดินแดนกลางเทือกเขาอย่างสวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นดินแดนลึกลับที่คนคิดว่าจะไม่มีใครสนใจ แถมดินแดนนี้ยังเต็มไปด้วยทหารรับจ้างอีก คือมันไม่มีใครไปบุกแน่ ๆ นี่เลยทำให้บรรดาผู้ปกครองยุคนั้นเอา “เงิน” ไปซ่อน หรือไปฝากไว้ในดินแดนแห่งนี้เพราะรู้สึกว่ามันปลอดภัยจากศัตรู

ซึ่งนี่เลยทำให้ทางรัฐมีระเบียบชัดเจนเพื่อสร้างหลักประกันให้บรรดาลูกค้าว่าธนาคารในสวิสนั้นห้ามเปิดเผยข้อมูลลูกค้าเด็ดขาดมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 18 

นี่คือ จุดเริ่มที่เป็น “สปิริต” ของอุตสาหกรรมธนาคารในสวิสที่ยกให้ “ความลับลูกค้า” นั้นสำคัญที่สุด

และนี่ก็ไม่ได้อยู่แค่ในกฎหมายรัฐโบราณเท่านั้น เพราะกฎหมายธนาคารในปี 1934 ก็ระบุชัดเจนว่า ถ้าธนาคารหรือใครก็ตามในสวิส ทำการเปิดเผยข้อมูลลูกค้าธนาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ถือเป็นความผิดอาญา ซึ่งมันก็ทำให้สิ่งที่เป็นมาแต่โบราณมีลักษณะแบบเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนขึ้น

หลังจากนั้น “ตำนาน” ของสวิสในโลกสมัยใหม่ก็เริ่มขึ้น ธนาคารสวิสมีบทบาทตั้งแต่ให้คนยิวซุกทรัพย์สินไม่ให้รัฐบาลนาซีเยอรมนีเข้ายึดช่วงในสงครามโลกครั้งที่ 2 และตอนเยอรมนีแพ้สงคราม ธนาคารสวิสก็มีบทบาทให้พวกผู้นำนาซีได้ซุกทรัพย์สินก่อนโดนฝ่ายสัมพันธมิตรยึด และหลังจากนั้นธนาคารสวิสก็เริ่มกลายเป็นแหล่งฟอกเงินของพวก “คนนอกกฎหมาย” ทั่วโลก แต่ก็ไม่ใช่แค่คน “ทำผิดกฎหมาย” เท่านั้น เพราะทั้งพวกคนรวยยันนักการเมืองทั่วโลกก็มาเปิดบัญชีธนาคารสวิสเพื่อเอาทรัพย์สินมาซ่อนและพวกเขาไม่ได้ทำแค่เพราะกลัวโดนยึดทรัพย์เท่านั้น แต่ทำเพื่อหนีการจ่ายภาษีด้วย และเหตุผลนี้ ไม่ใช่แค่บุคคล แต่พวกบริษัทที่ต้องการหนีภาษีก็มาเปิดบัญชีในธนาคารของสวิสกันมากมาย

สถานะของธนาคารสวิสเป็นตำนานมาตลอดศตวรรษที่ 20 ดังที่เราจะเห็นในหนังต่าง ๆ ก่อนที่สุดท้ายธนาคารสวิสก็ได้ยินยอมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะเปิดเผยข้อมูลลูกค้ากับประเทศประมาณ 100 ประเทศ ที่มีการเซ็นสนธิสัญญาแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเหตุผลทางภาษีในช่วงปี 2017 และก็มีการเซ็นเพิ่มเรื่อย ๆ

หรือพูดง่าย ๆ ตั้งแต่ปี 2018 ที่สนธิสัญญาการแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้ากับประเทศต่าง ๆ เริ่มขึ้น มันก็เป็นปีที่เขาบอกกันว่า “ตำนาน” การเก็บความลับลูกค้าของธนาคารสวิสก็จบลง เพราะอย่างน้อย ๆ ประเทศกว่า 100 ประเทศก็จะรู้ทันทีถ้าพลเมืองของตัวเองมาเปิดบัญชีกับธนาคารสวิสและมีเงินเข้ามา พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณเป็นคนยุโรป อเมริกัน หรือกระทั่งญี่ปุ่นและออสเตรเลีย คุณไม่สามารถจะหนีภาษีโดยเอาเงินให้ธนาคารสวิสได้แล้ว เพราะรัฐคุณรู้การเคลื่อนไหวของเงินคุณหมด เนื่องจากธนาคารสวิสจะแจ้งกลับไป

อย่างไรก็ดี หลาย ๆ คนก็คงจะเห็น “ช่องโหว่” ตรงนี้ เพราะพลเมืองอีกราว 90 กว่าประเทศ หรืออีกครึ่งโลกที่ไม่ได้ทำสนธิสัญญากับสวิส ก็ยังสามารถไปเปิดบัญชีที่สวิสเพื่อหลบเลี่ยงภาษีได้เหมือนเดิม ซึ่งในประเทศที่ไม่ได้ทำสนธิสัญญาที่ว่าก็มีไทยด้วย รวมถึงพวกประเทศแอฟริกาและลาตินอเมริกาอีกจำนวนมาก

นี่ก็เลยทำให้คนจำนวนมากมีข้อกังขาว่าแบบนี้ “ความลับลูกค้า” ของสวิสตายแล้วจริง ๆ เหรอ? เพราะถ้ามันมีคนใช้ “บัญชีนอมินี” ของประเทศที่ยังไม่มีการทำสนธิสัญญา การหลบเลี่ยงภาษีก็ยังเป็นไปได้อยู่เหมือนเดิมดั่งที่เคยเป็นมาตลอดศตวรรษที่ 20 

คำตอบคือใช่ แต่ในทางปฏิบัติ สินทรัพย์เกิน 80% ในธนาคารสวิสคือสินทรัพย์ของพลเมืองประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งพวกนี้คืออยู่ใต้สนธิสัญญาทั้งหมด ดังนั้น มาตรการนี้แม้ว่าจะไม่ “ครอบคลุม” ประเทศเกือบครึ่งโลก แต่ถ้ามองในเชิงสินทรัพย์ที่จะถูกจับตาด้านภาษี มันครอบคลุมเกิน 80% ในธนาคารสวิสแล้ว ซึ่งนั่นก็มากพอที่จะบอกว่ามันมี “ความเปลี่ยนแปลง” ที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น

สุดท้ายจะบอกว่า “ตลกร้าย” ก็ได้ ที่ในปี 2017 สวิสได้โบกมือลาจากผู้สร้างหลักประกัน “ความเป็นส่วนตัว” ทางการเงินของชาวโลกมาหลายร้อยปี และในปีเดียวกันชาวโลกส่วนใหญ่ได้รู้จักกับ Bitcoin และจักรวาลคริปโตเป็นครั้งแรก นี่จึงกลายเป็น “ปัญหาใหม่” ที่รัฐทั่วโลกต้องเผชิญ แม้จะกำราบ “ธนาคารสวิส” ลงได้ แต่เครือข่ายคริปโตนั้นก็สามารถทำงานเพื่อหนีการยึดทรัพย์ หลบเลี่ยงภาษี ยันฟอกเงินได้แบบเดียวกับธนาคารสวิสเป๊ะ ๆ ในทางทฤษฎี    

และนี่ก็น่าสนใจว่า หรือจริง ๆ แล้วภาวการณ์ตื่นของ “คริปโต” ตอนปี 2017 จริง ๆ มันเกิดจากการที่บรรดาคนรวยทั่วโลกสูญเสีย “ความเป็นส่วนตัวทางการเงิน” จากสวิส และต้องย้ายทรัพย์สินก่อนที่สวิสจะเริ่มรายงานทรัพย์สินในปี 2018? นี่ก็ยังเป็นปริศนา และคำตอบอาจจะหาได้จากนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจในอนาคต?

 

Ref.

https://www.theguardian.com/news/2022/feb/22/how-swiss-banking-secrecy-global-financial-system-switzerland-tax-elite 

https://www.ft.com/content/f4c3be6c-6c98-47e0-9d7c-74b4d4064ba5 

https://swiss-banking-lawyers.com/swiss-banking-secrecy/ 

https://www.reuters.com/article/us-swiss-secrecy-idUSKCN1MF13O 

https://www.sif.admin.ch/sif/en/home/multilateral-relations/exchange-information-tax-matters/automatic-exchange-information/country-by-country-reports.html 

https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-05-03/swiss-bank-secrecy-law-has-chilling-effect-un-expert-warns 

https://news.bitcoin.com/switzerland-less-affected-by-crypto-industry-crisis-study-finds/