สกุลเงินคริปโตแบบต่าง ๆ เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin: BTC) และ Ethereum (ETH) นั้นมอบอรรถประโยชน์หลายอย่างให้กับผู้ใช้ และประโยชน์อย่างหนึ่งของสกุลเงินคริปโตเหล่านี้ก็คือ การไม่ต้องไว้ใจสถาบันกลางในการทำการส่งเงิน ส่งผลให้ใคร ๆ ก็สามารถนำสกุลเงินคริปโตเหล่านี้ไปใช้ได้ทั่วโลก ถึงกระนั้น ข้อเสียอย่างหนึ่งของสกุลเงินคริปโตเหล่านี้ก็คือ ราคาไม่มั่นคงและมีแนวโน้มที่จะผันผวนรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง

ด้วยเหตุนี้ การนำสกุลเงินคริปโตเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันจึงเป็นเรื่องยาก ซึ่งตามปกติแล้ว ผู้คนทั่วไปก็อยากรู้ว่า เงินที่พวกเขาถืออยู่วันนี้จะมีมูลค่าเท่าไรในสัปดาห์หน้าเพื่อให้สามารถวางแผนการใช้ชีวิตและจัดสรรค่าใช้จ่ายล่วงหน้าได้

ความผันผวนของสกุลเงินคริปโตเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับราคาที่มั่นคงของเงินตรา เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำ โดยมูลค่าของเงินตราจะเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไป แต่เราจะเห็นว่า สกุลเงินคริปโตมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าแบบวันต่อวันมากกว่า ซึ่งมักจะมีมูลค่าขึ้นลงอยู่เป็นประจำ ดังนั้น สินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Stablecoin จึงเกิดขึ้นมาเพื่อลดความผันผวนของสกุลเงินคริปโต วันนี้เราจะมารู้จักกับ Stablecoin กัน

Stablecoin โดยสังเขป

Stablecoin เป็นสกุลเงินคริปโตประเภทหนึ่งที่มีการตรึงมูลค่าไว้กับสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีความมั่นคงมากกว่า เช่น สกุลเงินตรา (Fiat) และทองคำ เพื่อลดความผันผวนและพยุงราคาไว้ โดยส่วนใหญ่นั้น Stablecoin จะผูกมูลค่าไว้กับเงินตรา ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาลที่เรานำไปใช้จ่ายในทุก ๆ วัน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และยูโร

ปกติบริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Stablecoin จะจัดตั้งทุนสำรองขึ้นมาเพื่อเก็บสินทรัพย์และกลุ่มสินทรัพย์ที่หนุนหลัง Stablecoin อยู่ ตัวอย่างเช่น ฝากเงิน 1 ล้านดอลลาร์ไว้กับธนาคารแบบดั้งเดิมที่มีสาขา พนักงาน และตู้กดเงินสด เพื่อหนุน Stablecoin จำนวน 1 ล้านหน่วย วิธีดังกล่าวเป็นหนึ่งวิธีในการตรึงมูลค่าของ Stablecoin ไว้กับสินทรัพย์ในโลกจริง โดยเงินในกองทุนสำรองจะทำหน้าที่เป็นหลักประกันของ Stablecoin หมายความว่า เมื่อไรก็ตามที่ผู้ถือ Stablecoin ต้องการจะแปลงเหรียญคริปโตของตนเป็นเงินสด สินทรัพย์ที่หนุนหลังเหรียญนั้น ๆ ก็จะถูกถอนออกมาจากทุนสำรองในจำนวนเท่า ๆ กัน

อย่างไรก็ตาม เหรียญ Stablecoin บางเหรียญกลับไม่ได้มีหลักประกันเป็นเงินตรา แต่เป็นสกุลเงินคริปโตสกุลอื่น ๆ แทนแม้จะถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหวตามเงินตราอย่างดอลลาร์ 

นอกจากนี้ เหรียญ Stablecoin ประเภท Algorithmic Stablecoin ไม่มีหลักประกัน โดยเหรียญ Stablecoin ประเภทนี้จะถูกเผาหรือสร้างขึ้นใหม่เพื่อรักษามูลค่าให้สอดคล้องตามราคาเป้าหมาย กล่าวคือ เมื่อเหรียญมีราคาลดลงจากราคาเป้าหมาย 1 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 0.75 ดอลลาร์ อัลกอริทึมจะเผาเหรียญส่วนหนึ่งเพื่อลดจำนวนลง ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น

ประเภทสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำ Stablecoin

  1. เงินตรา (Fiat) – เงินตราเป็นหลักประกันทั่วไปสำหรับ Stablecoin โดยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลักประกันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ ณ ปัจจุบันนี้ หลายบริษัทกำลังศึกษา Stablecoin ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินตราอื่น ๆ เช่นกัน เช่น BiLira ที่ตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินลีราตุรกี
  2. โลหะล้ำค่า (Precious Metal) – เหรียญ Stablecoin บางเหรียญมีการตรึงมูลค่าไว้กับโลหะมีค่าต่าง ๆ เช่น ทองคำและเงิน
  3. สกุลเงินคริปโต (Cryptocurrency) – เหรียญ Stablecoin บางเหรียญใช้สกุลเงินคริปโตสกุลอื่นเป็นหลักประกัน เช่น เหรียญประจำบล็อกเชน Ethereum อย่าง ETH 
  4. การลงทุนอื่น – ครั้งหนึ่งเคยเชื่อกันว่า Tether บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Stablecoin อย่าง USDT มีสกุลเงินดอลลาร์หนุนหลัง 1 USDT ต่อ 1 ดอลลาร์แต่การใช้หลักประกันหลายประเภทของบริษัทก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป โดยข้อมูลที่บริษัทเผยแพร่ออกมาเมื่อปี 2564 ชี้ว่า เกือบครึ่งหนึ่งของทุนสำรองของบริษัทเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น (Commercial Paper) โดยทางบริษัทก็ไม่ได้เปิดเผยชื่อผู้ออกตราสารหนี้เหล่านี้แต่อย่างใด

ข้อเสียของ Stablecoin

ถ้ามีการนำทุนสำรองไปเก็บไว้กับธนาคารหรือบุคคลที่สาม ผู้ใช้ก็มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระของคู่สัญญา (Counterparty Risk) ได้ โดยเรามิอาจรู้ได้ว่า บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Stablecoin นั้นมีสินทรัพย์หนุนหลังจริงตามที่กล่าวอ้างไว้ไหม ซึ่ง Tether ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในประเด็นนี้ด้วย

กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ ทุนสำรองที่ค้ำเหรียญ Stablecoin ไว้อาจจะมีมูลค่าไม่มากพอที่จะเอามาเป็นทุนสำรองให้กับเหรียญทุกหน่วยได้ ทำให้นักลงทุนสูญเสียความมั่นใจในเหรียญ

นอกจากนี้ ก่อนการมาถึงของสกุลเงินคริปโต บริษัทตัวกลางต่าง ๆ เช่น ธนาคาร จะได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้ให้ทำหน้าที่ดูแลเงินของพวกเขา ตัวกลางเหล่านี้จะมีอำนาจในการควบคุมเงินของผู้ใช้โดยพฤตินัย เช่น ธนาคารจะระงับธุรกรรมของผู้ใช้เมื่อได้รับคำสั่งจากหน่วยงานรัฐหรือเห็นว่ามีการนำไปใช้ในทางที่เข้าข่ายไม่เหมาะไม่ควร โดยถึงแม้ว่าสกุลเงินคริปโตจะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดบทบาทตัวกลางดังกล่าว ทว่าผู้สร้างเหรียญ Stablecoin บางเหรียญกลับเพิ่มความสามารถในการระงับธุรกรรมของผู้ใช้เข้าไปด้วย ซึ่งต่างจากสกุลเงินคริปโตโดยทั่วไปที่มีความกระจายศูนย์