เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา Adam Back ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Blockstream บริษัทด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน ได้ออกมาอธิบายมุมมองของเขาต่อการคาดการณ์ของ Hal Finney ผู้บุกเบิกธุรกรรมบิตคอยน์ ที่ว่าบิตคอยน์จะมีมูลค่าแตะ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ ให้ผู้ติดตามของตนบน Twitter ทราบ
โดย Back ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา บิตคอยน์ (Bitcoin: BTC) มีราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 เท่ามาโดยตลอดทุก ๆ ปี พร้อมทั้งกล่าวเสริมว่า ถ้าหากว่าแนวโน้มดังกล่าวยังดำเนินต่อไปอีก ราคาบิตคอยน์ก็จะพุ่งไปแตะ 10 ล้านดอลลาร์และมีมูลค่ารวมตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ 200 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะเวลาอีกราว 9 ปีได้
ถึงกระนั้น Back ก็กล่าวว่า ในการที่การคาดการณ์ดังกล่าวจะกลายเป็นความจริงได้ การพัฒนาเทคโนโลยีเลเยอร์ 2 และโครงสร้างพื้นฐานของกระเป๋าเงินบนบล็อกเชนบิตคอยน์ก็จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้นวัตกรรมเหล่านี้มีเวลาในการขยายการรองรับการใช้งาน
“ผมคิดว่า สิ่งต่าง ๆ จะน่าสนใจในการ Halving (การลดผลตอบแทนจากการขุดบิตคอยน์) 2 ครั้งถัดไป และจะเกิดขึ้นรวดเร็ว เราไม่มีเวลามากมายในการขยายขนาดของเทคโนโลยี เราจำเป็นต้องมีพื้นที่สำหรับผู้ใช้ใหม่อีกพันล้านคนเพื่อให้พวกเขาเป็นเจ้าของคริปโตที่เหลือจากการทำธุรกรรม (Unspent Transaction Output: UTXO) และกุญแจของพวกเขาเองพร้อมกับมีที่เก็บสินทรัพย์แบบออฟไลน์ที่ป้องกันการถูกเซนเซอร์โดยที่ไม่ลดความปลอดภัยของเครือข่ายบล็อกเชนหลัก” Back ระบุ
ไม่เพียงเท่านั้น Back ยังกล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวอาจจะหมายถึงการรักษาสมดุลระหว่าง Sidechain (บล็อกเชนแยกที่ทำงานเคียงคู่กับบล็อกเชนหลัก) และ Drivechain (โปรเจกต์ที่นำ Sidechain มาใช้เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานให้กับบิตคอยน์) รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโพรโทคอลเลเยอร์ 2 อย่าง Lightning Network (LN) อีกทั้งยังย้ำว่า เรามีเวลาไม่มาก เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีจะต้องใช้เวลาในการเติบโต โดยจะต้องมีกระเป๋าเงินคริปโต ความสามารถในการทำงานร่วมกันของเครือข่าย และการเชื่อมโยงระบบเข้าด้วยกัน
พร้อมกันนี้ Back ยังเสริมด้วยว่า เงินปริมาณมหาศาลส่วนหนึ่งที่ลงทุนอยู่ในสินทรัพย์เก็บมูลค่าอื่น ๆ เช่น หุ้น ทอง พันธบัตรรัฐบาล และอสังหาริมทรัพย์ยังจะต้องถูกแทนที่ด้วยเงินที่นำไปลงทุนในบิตคอยน์อีกด้วย บิตคอยน์ถึงจะสามารถมีมูลค่าแตะ 10 ล้านดอลลาร์ได้
นอกจากนี้ Back ยังเชื่อว่า ปริมาณการนำบิตคอยน์ไปใช้งานยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของเส้น S-Curve (กราฟแสดงผลการดำเนินงานของโครงการ) เนื่องจากมีประชากรโลกเพียง 1-2% เท่านั้นที่ได้นำบิตคอยน์ไปใช้ แต่เขาทำนายว่า ในอนาคตคนจำนวนมากขึ้นจะเริ่มเก็บบิตคอยน์ไว้ในกระเป๋าเงินคริปโตออฟไลน์ของตน