เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโตอย่าง CoinGecko ได้เผยแพร่บทความวิเคราะห์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ว่าด้วยเรื่องประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สุดอื้อฉาวแห่งวงการคริปโตอย่างการล้มของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตยักษ์ใหญ่ FTX ซึ่งการวิเคราะห์นี้ได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลเชิงลึกของตลาดอย่าง SimilarWeb ซึ่งกรอบเวลาในการเก็บข้อมูลคือ เดือนมกราคมถึงตุลาคม 2565 ผลลัพธ์ที่ได้มาจะสะท้อนจากจำนวนผู้ใช้งานที่ไม่ซ้ำหน้าในแต่ละเดือนและส่วนแบ่งการเข้าใช้งานแพลตฟอร์ม FTX ในแต่ละประเทศ

โดย CoinGecko เผยว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากกรณีการพังทลายของแพลตฟอร์ม FTX สามอันดับแรกได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยมีส่วนแบ่งการเข้าใช้งานรวมอยู่ที่ 15.7% เลยทีเดียว เกาหลีใต้มีส่วนแบ่งการเข้าใช้ 6.1% (คิดเป็นผู้ใช้งาน 297,229 รายต่อเดือน) สิงคโปร์มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 5% (คิดเป็น 241,675 รายต่อเดือน) และญี่ปุ่นมีส่วนแบ่งอยู่ที่ 4.6% (คิดเป็น 223,513 รายต่อเดือน) ในขณะที่ประเทศไทยครองอันดับที่ 13 ซึ่งมีผู้ใช้รายเดือนอยู่ที่ราว ๆ 127,900 รายต่อเดือน

นอกจากนี้ ยังมีหลายบริษัทในประเทศสามอันดับแรกที่ได้ลงทุนไว้กับ FTX เป็นเงินก้อนใหญ่ เช่น เมื่อต้นปี SoftBank บริษัทด้านการลงทุนสัญชาติญี่ปุ่นได้ลงทุนกับ FTX เป็นมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน บริษัทลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์อย่าง Temasek ก็ลงทุนกับ FTX ไว้กว่า 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว 

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อต้นปีนี้ก่อน FTX ประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง ชาวสิงคโปร์ก็ย้ายแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตจาก Binance ไปยัง FTX กันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคมปี 2564 ทาง Binance ในสิงคโปร์ได้ยุติการลงทะเบียนขอใบอนุญาตให้บริการ การฝาก และการแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโต รวมถึงปิดแพลตฟอร์มไปแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ทำให้อนุมานได้ว่า สาเหตุดังกล่าวทำให้เกิดการหลั่งไหลของผู้ใช้เข้ามาใน FTX จนทำให้สิงคโปร์ขึ้นมาอยู่ในประเทศอันดับต้น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการพังทลายของแพลตฟอร์มดังกล่าว

ทางด้านเกาหลีใต้ การล้มของ FTX ก็ได้ผลักดันให้ทางรัฐบาลเร่งเขียนกฎหมายใหม่อย่าง กฎหมายเบื้องต้นสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Basic Act) ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายเพื่อการกำกับดูแลที่ครอบคลุม โดยวางแผนไว้ว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2566

อนึ่ง แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตอย่าง Binance และ OKX ก็ได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น หลังจาก FTX ล้มละลายไป โดย Binance ขึ้นจาก 57% ไปอยู่ที่ 64% ในขณะที่ OKX เพิ่มจาก 11.9% ไปอยู่ที่ 13%