ศูนย์นวัตกรรม Milano Hub ของธนาคารแห่งประเทศอิตาลี (Bank of Italy) เตรียมให้การสนับสนุนแก่โครงการที่ริเริ่มโดย  Cetif Advisory ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาและวิจัยด้านการเงินที่แยกตัวออกจากศูนย์วิจัย Cetif Research Centre แห่งมหาวิทยาลัย Università Cattolica del Sacro Cuore ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อวิจัยระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทโทเคนหลักทรัพย์ (Security Token) ในวงการการเงินกระจายศูนย์ (Decentralized Finance: DeFi) สำหรับสถาบันการเงิน

โครงการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ Polygon Labs, บริษัทผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านคริปโต Fireblocks รวมถึงองค์กรอีกหลายแห่ง โดยจะมีธนาคาร บริษัทจัดการสินทรัพย์ และสถาบันการเงินในอิตาลีอีก 10 แห่งเข้าร่วมด้วย

จุดมุ่งหมายของโครงการดังกล่าวคือ การเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินต่าง ๆ เข้ามาดำเนินงานในสภาพแวดล้อมของ DeFi พร้อมกับการปฏิบัติตามแนวทางการกำกับดูแลด้วยโดยที่จะไม่มีวัตถุประสงค์ด้านการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่จะเป็นการขยาย “ขอบเขตการวิเคราะห์” Security Token ในตลาดรอง (Secondary Market) ไม่เพียงเท่านั้น ทางโครงการยังจะพัฒนาแพลตฟอร์มผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Maker) แบบอัตโนมัติที่มีมาตรฐานระดับสถาบันที่ชื่อว่า Lionity ของ Cetif Advisory อีกด้วย 

ด้าน Imanuel Baharier ผู้จัดการทั่วไปของ Cetif Advisory ระบุในแถลงการณ์ของบริษัทว่า ทางบริษัทเชื่อว่า การสร้างสภาวะเพื่อทำให้ DeFi กลายเป็นสภาพแวดล้อมการดำเนินกิจกรรมที่มีความโปร่งใสและปลอดภัยสำหรับสถาบันการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งใน 7 โครงการที่ได้รับการอนุมัติในหมวดเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) และจะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศอิตาลีผ่าน Milano Hub ในรูปแบบของการให้คำปรึกษาและการวิจัยด้านการกำกับดูแลเชิงลึกเป็นเวลา 6 เดือนด้วยกันโดยเริ่มตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป

Security Token เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่แทนความเป็นเจ้าของสำหรับสินทรัพย์ที่มีอยู่จริง ซึ่งการแปลงหลักทรัพย์เป็นโทเคนนั้นเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ในอุตสาหกรรมบล็อกเชน ขณะที่เมื่อไม่นานนี้ ธนาคารชื่อดังระดับโลกอย่าง Citi ได้เผยแพร่รายงาน Global Perspectives & Solutions ที่คาดการณ์ว่า ตลาดโทเคนหลักทรัพย์อาจจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 4-5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยหุ้นนอกตลาด (Private Equity) และธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) จะถูกแปลงเป็นโทเคนมากที่สุดตามมาด้วยอสังหาริมทรัพย์