เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2565 บริษัทผู้ให้บริการคำปรึกษา ผลิต และพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจอย่าง MicroStrategy ที่มีผู้คลั่งไคล้ในบิตคอยน์ (Bitcoin: BTC) อย่าง Michael Saylor ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัท ได้ขายบิตคอยน์เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มซื้อสะสมในปี 2563 จำนวนทั้งหมด 704 BTC ในราคา 11.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาเฉลี่ยตกเหรียญละ 16,776 ดอลลาร์สหรัฐ รวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว

โดยทางบริษัทได้เผยว่า การขายขาดทุนในครั้งนี้จะไปหักล้างกับกำไรที่ได้มาในคราวที่แล้ว ซึ่งจะส่งผลดีแก่บริษัทในแง่ของภาษี ซึ่งทางบริษัทระบุผ่านเอกสารที่ส่งให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (Securities and Exchange Commission: SEC) ว่า “MicroStrategy วางแผนจะขอคืนภาษีในปีก่อนหน้าโดยใช้ผลขาดทุนของปีปัจจุบันมาคำนวณ (Carry Back) เพื่อหักล้างกับกำไรที่ได้มาก่อนหน้านี้ จนถึงจุดที่การหักล้างดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้กฎหมายภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางที่มีผลบังคับใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งอาจทำให้ลดหย่อนภาษีได้”

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น 2 วัน ในวันที่ 24 ธันวาคม ทางบริษัทก็ได้ซื้อบิตคอยน์กลับคืนมาเป็นจำนวน 810 BTC ในมูลค่า 13.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยที่เหรียญละ 16,845 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2565 ทางบริษัทมีบิตคอยน์ในครอบครองอยู่ทั้งหมด 132,500 BTC ซึ่งต้นทุนการซื้อรวมทั้งหมดอยู่ที่ราว ๆ 4.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยราคาเฉลี่ย 30,397 ดอลลาร์สหรัฐต่อเหรียญ 

เมื่อคิดผลตอบแทนจากราคาบิตคอยน์ ณ เวลาที่เขียนข่าว (29 ธันวาคม 2565) ราคาบิตคอยน์อยู่ที่ระดับ 16,548 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บิตคอยน์ที่บริษัทถือมีมูลค่าประมาณ 2.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นว่า ตอนนี้ทางบริษัทกำลังขาดทุนจากการถือบิตคอยน์อยู่เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น MicroStrategy ก็ไม่ได้เจอมรสุมจากบิตคอยน์อย่างเดียว ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทก็ร่วงเกือบ 50% เลยทีเดียว เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลจากเหตุการณ์การล้มของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตแนวหน้าอย่าง FTX ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ MicroStrategy 

อย่างที่กล่าวไปว่า MicroStrategy ได้ก้าวเข้ามาสะสมบิตคอยน์ตั้งแต่ปี 2563 โดยหวังจะใช้สินทรัพย์ดิจิทัลชนิดนี้เป็นเครื่องมือป้องกันภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งช่วงนั้น Michael Saylor ยังเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทอยู่ และเขาก็ฉวยโอกาสช้อนบิตคอยน์ทุกครั้งที่ราคาตกจนขึ้นไปเป็นบริษัทที่ถือบิตคอยน์มากที่สุดอันดับหนึ่งเลยทีเดียว และส่วนตัวของ Michael Saylor ก็ถือบิตคอยน์ไว้เองถึง 17,732 BTC อีกด้วย