ล่าสุด รัฐบาลประเทศสโลวาเกียเตรียมเพิ่มสิทธิในการใช้เงินสดในฐานะวิธีการชำระเงินเข้าไปในกฎหมายของประเทศหลังจากที่การเปิดให้ลงคะแนนเสียงเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาไปแล้วเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา
โดยกฎหมายใหม่ดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากพรรค “Sme Rodina” หรือก็คือพรรค “พวกเราเป็นครอบครัว” และมีรายงานว่า กฎหมายดังกล่าวถูกร่างขึ้นเพื่อให้เป็นมาตรการป้องกันล่วงหน้าสำหรับการใช้งานสกุลเงินยูโรดิจิทัลที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
สำนักข่าวในยุโรปอย่าง Euractiv รายงานว่า Miloš Svrček สมาชิกสภานิติบัญญัติสโลวาเกียซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎหมายดังกล่าว ได้บอกกับสมาชิกสภานิติบัญญัติรายอื่นในระหว่างการอภิปรายในรัฐสภาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยทางการเงินของประเทศสโลวาเกีย
Euractiv ยังได้รายงานว่า ประเทศสโลวาเกียจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าของร้านค้าในประเทศในการปฏิเสธการรับชำระสินค้าและบริการเป็นเงินสดด้วย ซึ่งทางสภานิติบัญญัติเชื่อว่า กฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองเจ้าของร้านค้าจากการโจรกรรม การสัมผัสกับเชื้อโรค และยังมอบข้อยกเว้นจากกฎหมายการรับเงินสดที่มีอยู่ให้กับร้านค้าที่ใช้เครื่องจำหน่ายสินค้าที่รับชำระเงินผ่านบัตรเพียงเท่านั้นด้วยเช่นกัน
สหภาพยุโรป (Europe Union: UN) ได้ศึกษาการมาถึงของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency: CBDC) ของยุโรป หรือเงินยูโรดิจิทัลมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิเคราะห์ที่ได้ทำการวิจัยในนามของรัฐสภายุโรปได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็น “วิธีแก้ปัญหาที่กำลังมองหาปัญหาให้แก้อยู่” แต่ก็ยังได้แนะนำให้ทางรัฐสภายุโรปเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าพัฒนาสกุลเงินดังกล่าวต่อไปในอนาคต
หนึ่งในประเด็นความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดในการพัฒนาและนำ CBDC ไปใช้คือ แนวคิดที่ว่าสกุลเงินประเภทนี้จะมีลักษณะที่รวมศูนย์โดยสิ้นเชิง โดยจะทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมการทำธุรกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดังกล่าวไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า เรื่องนี้เป็นภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง
นอกจากนี้เรื่องของการแข่งขันยังคงเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงอีกเช่นกัน เพราะแม้ว่า CBDC อาจมอบอำนาจให้กับประชาชนที่สามารถเข้าถึงเครื่องมือของธนาคารแบบดั้งเดิมได้บ้างหรือไม่ได้เลยโดยไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม แต่สิ่งเหล่านี้ถือเป็นภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทและธนาคารเอกชนที่ได้ทำกำไรจากการนำเสนอบริการด้านสินเชื่อสำหรับกลุ่มคนที่ใช้บริการจากธนาคารเพียงผิวเผิน (Underbanked)