ข้อมูลจากรายงานสรุปผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 ปี 2023 ของธนาคาร SoFi ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่า ทางธนาคารถือครองสกุลเงินคริปโตต่าง ๆ อยู่เกือบ 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐในงบดุลของตน และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ธนาคาร SoFi มีลูกค้ากว่า 6 ล้านราย และในไตรมาส 2 ของปีนี้ ธนาคารแห่งนี้ถือคริปโตอยู่หลากหลายสกุลด้วยกัน ได้แก่ Bitcoin (BTC), Ether (ETH), Litecoin (LTC), Cardano (ADA), Solana (SOL), Dogecoin (DOGE) และ Ethereum Classic (ETC)

โดยจากการลงทุนในคริปโตของ SoFi ที่คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 166 ล้านดอลลาร์ ธนาคารถือ Bitcoin อยู่ 82 ล้านดอลลาร์ และถือ Ether อยู่ 55 ล้านดอลลาร์ ในทำนองเดียวกัน Dogecoin และ ADA ที่ธนาคารถืออยู่มีมูลค่าอยู่ที่ 4.9 และ 4.5 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ

พร้อมกันนี้ ธนาคาร SoFi ซึ่งขณะนี้มีลูกค้ามากกว่า 6 ล้านรายยังเปิดเผยกับนักลงทุนด้วยว่า ตนได้เสนอบริการให้แก่ลูกค้ารายใหม่มากกว่า 500,000 ราย และตอนนี้ยังรองรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตต่าง ๆ มากกว่า 22 สกุลด้วย

โดย SoFi ไม่เพียงแค่ถือครองสกุลเงินคริปโตเท่านั้น แต่ทางธนาคารยังอนุญาตให้ลูกค้าสามารถซื้อขายสินทรัพย์ของตนได้มาตั้งแต่ปี 2019 แล้วโดยเป็นผลมาจากความร่วมมือกับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตในสหรัฐอเมริกาอย่าง Coinbase ถึงแม้ว่าจะไม่เสนอบริการค้ำประกัน (Staking) เหรียญก็ตาม

ถึงกระนั้น ที่จริงแล้ว ณ ตอนที่ SoFi เริ่มเสนอบริการด้านสกุลเงินคริปโตให้แก่ลูกค้าของตน ธนาคารแห่งนี้ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการด้านธนาคารแต่อย่างใด และเพิ่งจะได้รับอนุญาตดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 ซึ่งหมายความว่า ณ ปัจจุบันนี้ SoFi เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินดั้งเดิมเพียงไม่กี่แห่งที่เสนอบริการด้านสกุลเงินคริปโตให้แก่ลูกค้า

อย่างไรก็ดี ธุรกิจด้านคริปโตของธนาคาร SoFi ก็ใช่ว่าจะไปได้สวยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (U.S. Federal Reserve) และผู้บัญญัติกฎหมายของสหรัฐอเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว คณะกรรมาธิการด้านการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาได้ตั้งคำถามถึงการปฏิบัติตามกฎหมายของ SoFi และสั่งการให้ธนาคารปฏิบัติตามกฎหมายด้านธนาคารอย่างเคร่งครัดภายในเดือนมกราคมปี 2024 ซึ่งก็ไม่แน่ว่า ท่าทีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการถือคริปโตของธนาคารได้

หลายฝ่ายเชื่อว่า การที่อุตสาหกรรมคริปโตมีความเชื่อมโยงกับธนาคารในระบบการเงินหลักจะกลายเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้เกิดการใช้งานสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวในวงกว้าง กระนั้นก็ดี หลังจากวิกฤตต่าง ๆ ในปี 2022 และการล่มสลายของธนาคารที่เกี่ยวข้องกับคริปโตหลายแห่งในช่วงต้นปีนี้ อนาคตก็ยังคงไม่แน่นอนอยู่ดี

แม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกาจะเร่งมือยับยั้งความเสียหายและปกป้องสินทรัพย์ของลูกค้าในธนาคารที่ล้มลง ทว่าท่าทีของพวกเขากลับทำร้ายความร่วมมือเพื่ออนาคตระหว่างคริปโตและการเงินแบบดั้งเดิม เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่า การล่มสลายของธนาคารเหล่านี้มีต้นตอมาจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคริปโตนั่นเอง