เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา Damian Williams อัยการสหรัฐฯ ประจำเขตทางตอนใต้ของรัฐนิวยอร์ก และ Tyler Hatcher เจ้าหน้าที่พิเศษผู้ดูแลหน่วยสืบสวนอาชญากรรมของสำนักงานกรมสรรพากรสหรัฐฯ ในเมืองลอสแอนเจลิส ประกาศว่า James Zhong ได้สารภาพความผิดของตนฐานฉ้อโกงผ่านการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ (Wire Fraud) โดยการขโมยบิตคอยน์จำนวนมากกว่า 50,000 BTC จากเว็บไซต์ตลาดมืดอย่าง Silk Road ในเดือนกันยายน 2555 แล้ว โดย Zhong ก็ได้สารภาพผิดไปเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นเวลานานกว่า 10 ปีหลังจากที่เขาก่อเหตุดังกล่าว

สำหรับแผนการที่ Zhong ใช้ในการขโมยบิตคอยน์จากเว็บ Silk Road คือ การสร้างบัญชีบน Silk Road ขึ้นมาประมาณ 9 บัญชีติดต่อกันเพื่อปกปิดตัวตน ทำธุรกรรมจำนวน 140 ธุรกรรมติดต่อกันอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างความสับสนให้เว็บไซต์จนระบบชำระเงินด้วยบิตคอยน์ของเว็บไซต์ได้ปล่อยบิตคอยน์ประมาณ 50,000 BTC ไปยังบัญชีของ Zhong หลังจากนั้น เขาก็โอนบิตคอยน์ปริมาณดังกล่าวไปยังที่อยู่ต่าง ๆ ที่เขาเป็นผู้ควบคุม ทั้งหมดนี้ก็เพื่อป้องกันการถูกตรวจพบ ปกปิดตัวตนและความเป็นเจ้าของ และทำให้เกิดความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของบิตคอยน์อีกด้วย

ถึงกระนั้น วิธีการอันแยบยลของ Zhong ก็หนีไม่พ้นการตรวจจับของทางการสหรัฐฯ โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายก็ได้ยึดบิตคอยน์จำนวน 50,676.17851897 BTC ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 3.36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ เวลาดังกล่าว หลังจากที่มีหมายศาลให้ค้นบ้านของเขาในเมือง Gainesville รัฐจอร์เจีย โดยบิตคอยน์จำนวนดังกล่าวถูกเก็บซ่อนไว้ในอุปกรณ์ที่อยู่ในบ้าน

การยึดบิตคอยน์ครั้งดังกล่าวถือเป็นการยึดสกุลเงินคริปโตมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ณ เวลานั้นเลยทีเดียว อีกทั้งทุกวันนี้ยังคงเป็นการยึดทรัพย์ทางการเงินที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทางกระทรวงอีกด้วย

“ต้องขอบคุณวิธีการสืบสาวสกุลเงินคริปโตที่ทันสมัยและการทำงานของตำรวจแบบดั้งเดิมที่มีประโยชน์ที่ทำให้ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายสามารถระบุตำแหน่งและกู้คืนขุมสมบัติอันน่าทึ่งซึ่งเป็นเงินอาชญากรรมกลับมาได้ คดีนี้ทำให้เห็นว่า เราจะไม่หยุดติดตามเงินที่ถูกขโมย ไม่ว่าจะซ่อนไว้แยบยลขนาดไหน ต่อให้ซ่อนไว้ในแผงวงจรใต้ตู้พ็อปคอร์น เราก็จะตามไปเอาคืนมา” Williams กล่าว