สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ขณะนี้ประเทศอาร์เจนตินากำลังเผชิญกับสภาวะแห้งแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 60 ปี โดย Andrés Betiger เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในเมือง Ciguena ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อป้องกันไม่ให้ฟาร์มของเขาล้มละลาย เนื่องจากสภาวะแห้งแล้งดังกล่าวนี้ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และข้าวสาลีได้รับความเสียหาย มิหนำซ้ำฝูงวัวก็พากันล้มตายอย่างนับไม่ถ้วนด้วย

เนื่องด้วยความแห้งแล้งอย่างหนัก ส่งผลให้ Betiger ต้องเดินทางถึง 52 กิโลเมตรด้วยรถแทรกเตอร์ที่จวนจะพังกับถังน้ำขนาดใหญ่เพื่อไปตักน้ำมาใช้ โดย Betiger ในวัย 41 ปีซึ่งกำลังพิจารณาจะยื่นล้มละลายกล่าวกับสำนักข่าว Reuters ว่า “ทุกอย่างมันแย่ไปหมดแล้ว เราไม่เหลืออะไรมาก และเราก็ไม่มีผลกำไรที่จะหยุดทำงานสัก 4 หรือ 5 วันได้เลย เราแทบจะต้องออกไปตักน้ำทุกวันเพื่อนำไปให้สัตว์ดื่ม” พร้อมทั้งกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้มันน่าเจ็บปวดและทำให้ผมกลัว…และมันเริ่มส่งผลไม่ดีต่อการเงินและร่างกายของผมแล้ว”

นอกจากนี้ Gustavo Giailevra เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐ Sante Fe ที่แห้งแล้งอีกแห่งหนึ่งของประเทศ ได้ยกหัวแม่วัวที่กำลังตั้งท้องที่นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางความร้อนเพื่อเกลี้ยกล่อมให้มันดื่มน้ำ แม้เขาจะไม่คิดว่า วัวของเขาจะมีชีวิตรอด แต่เขาเพียงต้องการให้มัน "จากไปอย่างสงบ" โดย Giailevra เคยประสบกับภัยแล้งมาก่อนเช่นเดียวกับเกษตรกรหลาย ๆ คนในอาร์เจนตินา ซึ่งแหล่งรายได้ของเขานั้นย่ำแย่ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มิหนำซ้ำวัวจำนวน 1 ใน 3 จากทั้งหมด 900 ตัวของเขายังตายไปแล้วด้วย ในขณะเดียวกันเขายังต้องสูญเสียพืชผลทางการเกษตรอย่างฝ้ายและข้าวโพดไปส่วนใหญ่เนื่องจากภาวะฝนแล้งที่รุนแรง

ภัยแล้งของอาร์เจนตินาส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดอาหารโลก เนื่องจากวิกฤตการณ์ดังกล่าวบีบบังคับให้เกษตรกรในประเทศต้องลดแนวโน้มการเก็บเกี่ยว รวมถึงส่งผลให้อุปทานธัญพืชลดลง ซึ่งประเทศอาร์เจนตินานั้นเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและกากถั่วเหลืองอันดับ 1 ของโลก รวมถึงเป็นผู้ผลิตข้าวโพด ข้าวสาลี และเนื้อวัวรายสำคัญของโลกด้วย โดยปรากฎการณ์ดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อความสามารถของรัฐบาลอาร์เจนตินาในการสะสมเงินดอลลาร์สำรองที่มีความจำเป็นมากด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเสี่ยงกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบางของประเทศ อีกทั้งยังเสี่ยงทำให้รัฐบาลขาดดุลคลังมหาศาล รวมถึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดการท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย 

Cristian Russo หัวหน้าฝ่ายการประเมินผลผลิตทางการเกษตรของตลาดซื้อขายธัญพืชในเมือง Rosario กล่าวว่า “ในอาร์เจนตินา สถานการณ์ภัยแล้งนี้ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ซ้ำซ้อน (Perfect Storm)” โดยผลกระทบของภัยแล้งนี้ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับปรากฎการณ์ลานีญาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันยังอาจหนักขึ้นไปอีก ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดแนวโน้มการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองและข้าวโพดลงไปอีก อีกทั้งการเก็บเกี่ยวข้าวสาลียังลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่งจากภัยแล้งดังกล่าวนี้ โดย Russo ยังเสริมอีกว่า ในแง่ของการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรนั้น สถานการณ์กำลังจะเลวร้ายที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งเขาระบุว่า “ภัยแล้งนี้กำลังจะกลายเป็นวิกฤตที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งหมายความว่า ผู้ผลิตหลายรายกำลังจะล้มละลาย”

ด้าน Julio Calzada หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของตลาดซื้อขายธัญพืชในเมือง Rosario กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภัยแล้งต่อผู้ผลิตในประเทศอาจอยู่ที่ประมาณ 10.5 พันล้านดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังระบุว่า อาร์เจนตินาจะสูญเสียมูลค่าการส่งออกประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขดังกล่าวนั้นคิดเป็นการสูญเสียรายได้ของรัฐบาลอาร์เจนตินาที่ราว ๆ 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระดับเงินทุนสำรองของประเทศที่ร่อยหรออยู่แล้ว