ธปท. ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 0.25% กลายเป็น 1% เงินบาทส่อแววอ่อนค่าต่อเนื่อง สะเทือนตลาดคริปโตไทย

เมื่อวันพุธที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลงมติเห็นชอบให้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% จนกลายเป็น 1% หลังจากที่เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ได้ปรับดอกเบี้ยให้กลายเป็น 0.75% ซึ่งเป็นการปรับดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกหลังคงดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เพื่อประคองเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวในช่วงวิกฤตโรคระบาด COVID-19

ทาง กนง. เผยว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งคณะกรรมการฯ มองว่า ควรปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นไปตามบริบทเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ในขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1% นี้อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในระยะยาวหากธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรง ค่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากกว่านี้ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวจนเกือบเท่าก่อนเกิดวิกฤตการณ์ COVID-19 แล้ว

อย่างไรก็ตาม เงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าลงเพียงแค่สกุลเงินเดียว ทว่าตอนนี้ค่าเงินทั่วโลกก็อ่อนลงเหมือนกัน เว้นเพียงแต่สกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐมีมติเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% รวมถึงอัตราการว่างงานที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้เกิดการแข็งค่าอย่างรวดเร็ว

การปรับดอกเบี้ยครั้งนี้จากธนาคารแห่งประเทศไทยส่งผลกระทบต่อตลาดสกุลเงินคริปโตของประเทศไทยแน่นอน เนื่องจาก แต่เดิมนักลงทุนมักเข้าไปลงทุนในตลาดสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพราะต้องการผลตอบแทนที่มากกว่าปกติและรวดเร็ว ทว่าปัจจุบัน ตลาดคริปโตกำลังเผชิญกับสภาวะขาลงที่ยืดเยื้อ กอปรกับความผันผวนที่สูงเป็นปกติของตลาดอยู่ พอมาเจอนโยบายที่มอบผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติและปลอดภัยกว่าตลาดที่มีความเสี่ยง นักลงทุนก็อาจโยกย้ายเงินทุนที่เคยลงในตลาดคริปโตไปลงที่ธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย 1% แทน ไม่เพียงเท่านั้น ทิศทาง กนง. ยังมีแนวโน้มที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในอนาคตก็ยิ่งตอกย้ำว่า การฝากเงินเข้าระบบการเงินแบบดั้งเดิมอาจจะอุ่นใจและมั่นคงกว่า จึงอาจเป็นเหตุให้นักลงทุนไหลออกจากตลาดคริปโตกลับไปสู่ธนาคาร 

นอกจากนี้ การที่เงินบาทอ่อนค่าอย่างมากทำให้การลงทุนในตลาดคริปโตเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น ยิ่งกราฟเหรียญในตลาดอยู่ในภาวะสีแดงอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญในวงการคริปโตหลายคนจึงแนะนำว่า ให้ไปลงทุนในสินทรัพย์คริปโตประเภท Stablecoin แทน เนื่องจากเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงราคาไว้ให้เท่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น USDT และในช่วงที่เขียนข่าวนี้ ราคาดอลลาร์ก็พุ่งไปถึง 38 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ไปแล้ว จึงเป็นการดีสำหรับผู้ที่ถือ Stablecoin อยู่แล้ว หากต้องการแลกดอลลาร์ก็ใช้ Stablecoin แลกไปเป็นดอลลาร์แทนการใช้เงินบาท เพราะจะได้ในราคาที่ถูกกว่า 

ดังนั้น การปรับอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมถึงส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตของประเทศไทยด้วย เนื่องจากนักลงทุนจะไหลออกจากตลาดสินทรัพย์เสี่ยงไปพร้อมกับเงินทุนแล้วไปกองอยู่ที่ธนาคารแทน