การล้มลงของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตยักษ์ใหญ่อันดับสองอย่าง FTX ยังคงสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่อุตสาหกรรมคริปโตไม่หยุด หลังจากที่ประสบกับวิกฤตด้านสภาพคล่องจนต้องหยุดให้บริการการถอน จนกระทั่งได้ยื่นล้มละลายไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลายบริษัทด้านคริปโตได้รับคลื่นผลกระทบกันไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กองทุน Hedge Fund คริปโตอย่าง Galois Capital ได้ออกมาประกาศผ่าน Twitter ว่า เงินก้อนใหญ่ของพวกเขาติดค้างอยู่ในแพลตฟอร์ม FTX ซึ่งต่อมาสำนักข่าวด้านการเงินอย่าง Financial Times ก็รายงานว่า มูลค่าสินทรัพย์ของ Galois ที่คงค้างอยู่ในแพลตฟอร์มดังกล่าวอาจมีถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น ในวันที่ 14 พฤศจิกายน บริษัท New Huo Technology เจ้าของแพลตฟอร์ม Hbit Limited ก็ออกมาประกาศว่า ไม่สามารถถอนสินทรัพย์คริปโตมูลค่า 18.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐออกมาจาก FTX ได้ก่อนที่ทาง FTX จะหยุดบริการการถอน ซึ่ง 13.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเงินก้อนดังกล่าวเป็นเงินของผู้ใช้แพลตฟอร์ม Hbit โดยทางบริษัท New Huo Technology ก็ระบุว่าจะพยายามถอนสินทรัพย์คริปโตออกมาให้เร็วที่สุด

Li Lin ผู้บริหารของบริษัท New Huo Technology และผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม Huobi ก็ได้ออกมาเผยว่า จะให้บริษัทกู้ยืมเงินจำนวน 14 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้ในการดำเนินการถอนสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า การล้มละลายของ FTX นั้นจะส่งผลกระทบทางการเงินอย่างไร ถ้าหากไม่สามารถถอนสินทรัพย์ที่ติดค้างในแพลตฟอร์มได้อีกตลอดไป

นอกจากนี้ บริษัทสตาร์ตอัปด้านอินเทอร์เน็ตกระจายศูนย์สัญชาติไนจีเรียอย่าง Nestcoin ก็ประสบปัญหาการถอนสินทรัพย์ออกจาก FTX ไม่ได้เช่นเดียวกัน ทางผู้บริหารสูงสุดอย่าง Yele Bademosi ก็ได้ออกมาทวีตเป็นรูปจดหมายแถลงการณ์ โดยเนื้อหาระบุว่า จะมีการปลดพนักงานออก “เนื่องจากเราถือสินทรัพย์ (ทั้งเงินสดและสินทรัพย์ดิจิทัลประเภท Stablecoin) สำหรับใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจไว้ใน FTX” ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าจ้างพนักงานแล้ว

โดยก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคริปโตอย่าง CoinGecko ก็ได้เตือนไว้ว่า การปลดพนักงานในวงการคริปโตจะเพิ่มในเดือนหน้า ๆ เมื่อการล้มของ FTX เริ่มส่งผลกระทบสูงสุด