การล่มสลายของธนาคารขนาดกลางในสหรัฐฯ อย่าง Silicon Valley Bank (SVB) เป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคาร สัดส่วนเงินกู้มาลงทุนที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง และการปล่อยกู้เกินตัว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเครื่องเตือนใจที่ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเงินดั้งเดิม ทว่านี่ยังไม่ใช่จุดจบเพราะบทวิเคราะห์ล่าสุดของนักเศรษฐศาสตร์พบว่า ยังคงมีธนาคารอีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาที่เสี่ยงล้มละลายจากการแห่ถอนเงินของผู้ฝากเงินเฉกเช่นเดียวกับ SVB

บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า การแห่ถอนเงินของผู้ฝากเงินที่ไม่ได้รับการคุ้มครองเพียงครึ่งเดียวสามารถทำให้ธนาคารเกือบ 190 แห่งมีโอกาสเผชิญกับความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ฝากเงินที่ได้รับการคุ้มครองได้ ซึ่งอาจจะมีเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองมากถึง 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวยังอธิบายอีกว่า ถ้าหากว่ามูลค่าตามราคาตลาดของสินทรัพย์ธนาคารไม่พอสำหรับการนำไปชำระคืนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองทันทีที่ธนาคารชำระเงินให้กับผู้ฝากเงินที่ไม่ได้รับการคุ้มครองแล้ว ธนาคารจะถูกพิจารณาว่าล้มละลาย 

นโยบายการเงินที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมาย่อมทำให้ธนาคารหลายแห่งขาดทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและสินเชื่อบ้าน โดยบทวิเคราะห์ดังกล่าวเผยว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาซึ่งทำให้มูลค่าตลาดของสินทรัพย์ธนาคารในสหรัฐฯ ดิ่งลง 2 ล้านล้านดอลลาร์ กอปรกับการที่ธนาคารบางแห่งมีสัดส่วนเงินฝากที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจำนวนมาก ส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารต่าง ๆ

บทวิเคราะห์ดังกล่าวสรุปว่า การเปรียบเทียบสถานการณ์ของ SVB กับธนาคารอื่น ๆ บ่งชี้ว่า การลดลงของมูลค่าสินทรัพย์ธนาคารในช่วงนี้ทำให้ระบบธนาคารของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงต่อวิกฤตการแห่ถอนเงินจากผู้ฝากเงินที่ไม่ได้รับการคุ้มครองมากขึ้น

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐรับปากว่าจะช่วยเหลือผู้ฝากเงินของธนาคาร SVB และ Signature Bank ซึ่งเป็นธนาคารในสหรัฐฯ อีกหนึ่งแห่งที่ล้มลง พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง Joe Biden ยังระบุด้วยว่า ชาวอเมริกันจะไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจากแผนการช่วยเหลือดังกล่าวแต่อย่างใด